นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐ ออกมาเรียกร้องให้มีการเพิ่มมาตรการตรวจคนเข้าเมืองให้เข้มงวดมากขึ้น หลังเกิดเหตุระเบิดที่สถานีรถใจกลางกรุงนิวยอร์กในช่วงเช้าวันจันทร์ (11 ธ.ค.) ตามเวลาท้องถิ่น ส่งผลให้มีผู้บาดเจ็บอย่างน้อย 4 ราย และทำให้เกิดความโกลาหลขึ้นในช่วงชั่วโมงเร่งด่วน
ทรัมป์กล่าวว่า “สหรัฐจำเป็นต้องแก้ไขความหย่อนยานในระบบตรวจคนเข้าเมือง ซึ่งปัจจุบันเปิดทางให้บุคคลอันตรายและบุคคลที่ไม่ได้ถูกตรวจสอบอย่างรัดกุมเดินทางเข้าประเทศได้” นอกจากนี้ เขายังเรียกร้องให้สภาคองเกรสผ่านกฎหมายยกเลิกการออกวีซ่าแบบ “ลูกโซ่” ที่ยอมให้บุคคลต่างชาติที่มีสมาชิกครอบครัวที่เป็นพลเมืองสหรัฐหรือเป็นผู้อาศัยถาวรสามารถเดินทางเข้าประเทศได้
ด้านนายเจฟฟ์ เซสชันส์ รัฐมนตรีกระทรวงยุติธรรมสหรัฐ กล่าวว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นสะท้อนให้เห็นถึง “มาตรการตรวจคนเข้าเมืองที่ล้มเหลวของสหรัฐ” พร้อมสนับสนุนให้ใช้มาตรการตรวจคนเข้าเมืองที่พิจารณาจากคุณสมบัติรายบุคคล เช่น วุฒิการศึกษา ทักษะ และความสามารถทางภาษาอังกฤษ โดยเขากล่าวว่า คุณสมบัติเหล่านี้ควรได้รับการพิจารณามากกว่าบุคคลที่เป็นเครือญาติของพลเมืองอเมริกัน
นอกจากนี้ นางซาราห์ ฮัคคาบี แซนเดอร์ส โฆษกประจำทำเนียบขาวสหรัฐ ยังออกมาสนับสนุนให้ใช้ระบบตรวจคนเข้าเมืองที่พิจารณาคุณสมบัติรายบุคคล พร้อมย้ำว่าสิ่งที่เกิดขึ้นในนิวยอร์กเป็นเครื่องบ่งชี้ว่า สหรัฐควรเพิ่มมาตรการคุมเข้มการตรวจคนเข้าเมือง
“เหตุโจมตีครั้งนี้ชี้ให้เห็นว่า สภาคองเกรสจำเป็นต้องร่วมมือกับประธานาธิบดีในการปฏิรูประบบตรวจคนเข้าเมือง เพื่อสร้างความมั่นคงและความปลอดภัยให้แก่ประชาชน” แซนเดอร์สกล่าว
“เราทราบดีว่า นโยบายของท่านประธานาธิบดีคือสนับสนุนให้ยกเลิกการออกวีซ่าแบบลูกโซ่ ซึ่งเป็นสิ่งที่ทำให้มือระเบิดนิวยอร์กสามารถเดินทางเข้าสหรัฐได้ ซึ่งหากสามารถยกเลิกการออกวีซ่าดังกล่าวได้ ก็จะทำให้ผู้ก่อเหตุลักษณะนี้ไม่สามารถเดินทางเข้าสหรัฐได้”
ทั้งนี้ ทางการสหรัฐได้ระบุชื่อผู้ก่อเหตุระเบิดสถานีรถในย่านแมนฮัตตัน คือ นายอคาเยด อัลลาห์จากบังกลาเทศ โดยเจ้าหน้าที่เชื่อว่าเขาได้จุดระเบิดไปป์บอมป์ที่ทำขึ้นเองบริเวณชานชาลารถไฟใต้ดินใกล้กับจัตุรัสไทม์สแควร์ในช่วงเช้าวานนี้ ส่งผลให้ตนเองและพลเมืองอีก 3 รายได้รับบาดเจ็บ ขณะที่นายบิล เดอ บลาซิโอ นายกเทศมนตรีนิวยอร์ก ยืนยันว่า “เป็นความพยายามก่อการร้าย”