สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า ในยุคที่เศรษฐกิจจีนเริ่มก้าวออกจากการอาศัยการผลิต ไปเป็นการบริโภคภาคครัวเรือน บริษัทจีนก็ได้เปลี่ยนทิศทางการลงทุนในต่างประเทศด้วยเช่นกัน ปัจจุบันอุตสาหกรรมแบรนด์และเทคโนโลยีได้กลายมาเป็นแหล่งลงทุนใหม่ของบริษัทจีนที่ต้องการลงทุนในต่างประเทศ จากเดิมที่เป็นพลังงานและสินค้าโภคภัณฑ์
ข้อมูลจากบลูมเบิร์กระบุว่า บริษัทจีนได้กว้านซื้อทรัพยากรธรรมชาติในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา ส่งผลให้มีเม็ดเงินไหลเข้าอุตสาหกรรมพลังงานดั้งเดิมประมาณ 1.39 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ อย่างไรก็ดี ทิศทางดังกล่าวได้เปลี่ยนไปในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา
รายงานวิเคราะห์ล่าสุดจาก Macro Polo องค์กรมันสมองในสังกัดของสถาบัน Paulson Institute แห่ง University of Chicago ระบุว่า ปี 2557 นับเป็นจุดเปลี่ยน โดยเป็นช่วงที่บริษัทจีนมีการซื้อและควบรวมกิจการ (M&A) ในอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยี ไม่ว่าจะเป็นอินเทอร์เน็ตและซอฟต์แวร์ เซมิคอนดักเตอร์ โทรคมนาคม การบิน และอิเล็กทรอนิกส์ ในระดับที่เทียบเท่ากับการลงทุนในอุตสาหกรรมพลังงานดั้งเดิม
เมื่อปี 2559 ที่ผ่านมา ยอดการทำ M&A ในอุตสาหกรรมพลังงานต่างประเทศของธุรกิจจีน ได้ปรับตัวลดลงเหลือเพียง 2.8 พันล้านดอลลาร์ ร่วงลงจาก 3 หมื่นล้านดอลลาร์เมื่อปี 2555
ในขณะที่การลงทุนในแวดวงพลังงานดั้งเดิมและสินค้าโภคภัณฑ์ได้ปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง เม็ดเงินลงทุนในแวดวงอินเทอร์เน็ตและซอฟต์แวร์ก็พุ่งสูงขึ้นอย่างมาก โดยยอดการทำ M&A ในต่างประเทศของบริษัทจีนในอุตสาหกรรมอินเทอร์เน็ตและซอฟต์แวร์นั้นอยู่ที่ 2.67 หมื่นล้านดอลลาร์ในปี 2559
เมื่อเดือนมี.ค.ที่ผ่านมา เทนเซ็นต์ บริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ของจีน ได้ซื้อหุ้นบริษัทรถยนต์ไฟฟ้าสัญชาติสหรัฐอย่าง เทสลา ในสัดส่วน 5% มูลค่า 1.78 พันล้านดอลลาร์ โดยมีเป้าหมายเพื่อขับเคลื่อนเทนเซ็นต์ในการเจาะตลาดยานยนต์ขับเองและบริการที่เกี่ยวข้อง ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมที่คาดว่าจะทำกำไรมหาศาลในอนาคต