แม้ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ไม่ได้ลงสู้ศึกการเลือกตั้งกลางสมัย (midterm elections) ที่จะมีขึ้นในวันที่ 6 พ.ย. แต่ผลของการเลือกตั้งครั้งนี้จะส่งผลสะเทือนต่อการบริหารประเทศของเขาในช่วงเวลาที่เหลืออยู่ทั้งหมด
ศึกเลือกตั้งครั้งนี้ ประกอบด้วยการชิงชัยผู้ว่าการรัฐ 36 คน สมาชิกวุฒิสภา 35 คน และสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 435 คน รวมทั้งเจ้าหน้าที่ฝ่ายนิติบัญญัติท้องถิ่นอีกหลายสิบตำแหน่ง
สาเหตุหลักที่ต้องจับตามองผลการเลือกตั้งครั้งนี้ คือ หากเดโมแครตมีชัยเหนือรีพับลิกันแล้วกลับมาครองเสียงข้างมากทั้งในสองสภาได้อีกครั้ง ก็จะทำให้การบริหารงานที่เหลืออยู่อีก 2 ปี ของประธานาธิบดีทรัมป์ เป็นไปด้วยความยากลำบากในแง่การผลักดันร่างกฎหมายสำคัญต่าง ๆ
บรรดานักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าผู้สมัครพรรคเดโมแครตจะสามารถแย่งที่นั่งจำนวนมากในสภาผู้แทนราษฎรจากพรรครีพับลิกันมาครองได้จากการเลือกตั้งครั้งนี้
ในส่วนของวุฒิสภานั้น พรรครีพับลิกันอยู่ในสถานะที่ดีกว่า เพราะมี ส.ว. เพียง 9 รายที่ต้องลงเลือกตั้งใหม่ในครั้งนี้ ขณะที่พรรคเดโมแครตมีที่นั่งที่ต้องเลือกตั้งใหม่ 24 ที่นั่ง บวกอีก 2 ที่นั่งของ ส.ว. อิสระที่มักออกเสียงคล้อยตามเดโมแครต
การเลือกตั้งครั้งนี้เปรียบเสมือนการหยั่งประชามติต่อทรัมป์
การเลือกตั้งกลางสมัยมักทำหน้าที่เสมือนการหยั่งเสียงประชาชนถึงความนิยมในตัวประธานาธิบดี และบ่อยครั้งมักเป็นข่าวร้ายสำหรับพรรคที่กำลังกุมอำนาจในทำเนียบขาว
สถิติที่ผ่านมาชี้ว่า การเลือกตั้งกลางสมัย 21 ครั้งที่นับแต่ปี 1934 นั้น พรรคของประธานาธิบดีได้ที่นั่งเพิ่มในสภาผู้แทนราษฎรเพียง 3 ครั้ง และในวุฒิสภา 5 ครั้งเท่านั้น
การสำรวจความนิยมของประธานาธิบดีถือเป็นตัวชี้วัดที่ดีว่ารัฐบาลของเขาจะเป็นเช่นไรต่อไป และคะแนนนิยมของประธานาธิบดีทรัมป์ก็ตกต่ำเป็นประวัติการณ์โดยอยู่ที่ประมาณ 40%
หากเทียบกับอดีตประธานาธิบดีโอบามาที่เคยมีคะแนนนิยมตกต่ำ แต่ก็อยู่ที่ประมาณ 45% ในช่วงก่อนการเลือกตั้งกลางสมัยในปี 2010 ซึ่งพรรคเดโมแครตเผชิญความพ่ายแพ้ครั้งใหญ่ในประวัติศาสตร์สหรัฐฯ
ส่วนผลการหยั่งเสียงล่าสุดก่อนการเลือกตั้ง ก็ไม่ได้สร้างความอุ่นใจให้แก่พรรครีพับลิกัน เพราะผลล่าสุดชี้ว่าพรรคเดโมแครตมีคะแนนนิยมเพิ่มขึ้นราว 10% เป็นคะแนนนิยมนำมากที่สุดนับแต่ต้นปีนี้
รีพับลิกันมีสมาชิกเกษียณอายุมากเป็นประวัติการณ์
อายุเฉลี่ยของสมาชิกสภาคองเกรส (รัฐสภา) ของพรรครีพับลิกัน คือ 60 ปี ดังนั้นเรื่องการเกษียณอายุของสมาชิกจึงไม่ใช่เรื่องที่น่าแปลกใจ แต่ปรากฏการณ์ที่มีสมาชิกพรรคจำนวนมากตัดสินใจไม่ลงสู้ศึกในการเลือกตั้งกลางสมัยครั้งนี้ ได้ที่สร้างสร้างความประหลาดใจให้หลายฝ่ายอยู่ไม่น้อย
ขณะนี้มีสมาชิกพรรครีพับลิกันกว่า 30 คน ประกาศเกษียณอายุหรือลาออก ในจำนวนนี้บางรายถอนตัวไปจากข้อกล่าวหาเรื่องการคุกคามทางเพศ ขณะที่อีกส่วนลาออกไปลงสมัครรับเลือกตั้งชิงตำแหน่งในหน่วยงานอื่น
สมาชิกที่ลาออกไปหลายคนบอกถึงสาเหตุที่ทำให้ตัดสินใจเช่นนั้นว่าเป็นเพราะนายทรัมป์ และบรรยากาศของการแบ่งพรรคแบ่งพวกกันภายในพรรค
สมาชิกคนนหนึ่งเผยกับสถานีโทรทัศน์ซีเอ็นเอ็นว่า “ฉันรู้สึกว่าต้องคอยตอบคำถามเกี่ยวกับ โดนัลด์ ทรัมป์ มากกว่าเรื่องการประกันสุขภาพหรือนโยบายภาษี”
นอกจากนี้ ยังมีอีกข่าวดีสำหรับพรรคเดโมแครต เพราะผลการศึกษาหลายชิ้นชี้ว่า ผู้สมัครที่อยู่ในตำแหน่งอยู่แล้วมีโอกาสชนะการเลือกตั้งสูงกว่าผู้ท้าชิงตำแหน่ง เพราะผู้ที่อยู่ในตำแหน่งมีชื่อเสียงเป็นที่ยอมรับมากกว่า อีกทั้งยังมีศักยภาพในการระดมทุนที่ใช้หาเสียงได้มากกว่า
มีผู้สมัครรับเลือกตั้งหญิงมากเป็นประวัติการณ์
ในการเลือกตั้งกลางสมัยครั้งนี้ พรรคเดโมแครตเพิ่มจำนวนผู้ลงสมัครรับเลือกตั้งขึ้นมาก และเป็นครั้งแรกในรอบ 10 ปีที่ส่งผู้สมัครชิงเก้าอี้ ส.ส. มากกว่าพรรครีพับลิกัน
โดยในการเลือกตั้งขั้นต้นเพื่อหาตัวแทนพรรคลงสมัครชิงตำแหน่ง ส.ส. มีผู้ลงสมัครจากพรรคเดโมแครตราว 1,500 คน เพิ่มขึ้นจากการเลือกตั้งกลางสมัยครั้งก่อน 500 คน ในจำนวนนี้มีผู้หญิงมากเป็นประวัติการณ์ที่ 350 คน
ปรากฏการณ์นี้ทำให้บรรดาผู้เชี่ยวชาญคาดการณ์ว่าปี 2018 จะเป็น “ปีแห่งสตรี” (Year of the Woman) เหมือนกับที่เคยเกิดขึ้นเมื่อปี 1992 ซึ่งมีจำนวนผู้หญิงในสภาคองเกรสเพิ่มขึ้นสองเท่า จากปัจจุบันที่สัดส่วนของผู้หญิงในสภาอยู่ที่เพียง 20%
หลายฝ่ายมองว่าที่เป็นเช่นนี้ เพราะผู้หญิงอเมริกันถูกกระตุ้นจากกรณีที่นางฮิลลารี คลินตัน พ่ายแพ้ในศึกเลือกตั้งประธานาธิบดีอย่างเหนือความคาดหมายให้แก่นายทรัมป์ ซึ่งมีข่าวอื้อฉาวมากมายเรื่องการคุกคามทางเพศ และการแสดงความเห็นเชิงลบต่อสตรี
เดโมแครตต้องแก้พฤติกรรมคนไม่ชอบออกไปเลือกตั้งกลางสมัย
การเลือกตั้งกลางสมัยอาจไม่ตื่นเต้นเท่ากับการเลือกตั้งประธานาธิบดี ด้วยเหตุนี้จำนวนผู้ออกมาใช้สิทธิ์จึงต่ำกว่า ที่ผ่านมามีชาวอเมริกันออกไปใช้สิทธิ์เลือกประธานาธิบดี 60% ขณะที่ยอดผู้ออกไปใช้สิทธิ์เลือกตั้งกลางสมัยอยู่ที่ราว 40%
ปรากฏการณ์เช่นนี้ ส่งผลดีต่อพรรครีพับลิกันเพราะมีข้อมูลบ่งชี้ว่าผู้ที่ออกไปใช้สิทธิ์ในการเลือกตั้งกลางสมัยส่วนใหญ่มักเป็นกลุ่มคนมีอายุ และผิวขาว ซึ่งเป็นกลุ่มฐานเสียงของพรรค
พรรคเดโมแครตหวังว่า การที่นายทรัมป์ไม่เป็นที่นิยมในหมู่คนหนุ่มสาว ผู้หญิง และชนกลุ่มน้อยในประเทศ จะกระตุ้นให้คนกลุ่มนี้ออกไปใช้สิทธิ์กันมากขึ้นในการเลือกตั้งกลางสมัยครั้งนี้
การสูญเสียที่นั่งในคองเกรสจะทำให้ทรัมป์เสี่ยงถูกถอดถอนหรือไม่?
ที่ผ่านมา ชัยชนะในด้านนิติบัญญัติของประธานาธิบดีทรัมป์ คือการยกเครื่องระบบภาษีอากร แต่เขาสามารถผลักดันเรื่องดังกล่าวเป็นกฎหมายได้สำเร็จเพราะพรรครีพับลิกันครองเสียงข้างมากในทั้งสองสภา
หากพรรคเดโมแครตช่วงชิงการครองเสียงข้างมากในสภากลับมาได้สำเร็จก็จะทำให้การทำงานในอีก 2 ปีที่เหลือของนายทรัมป์เป็นไปอย่างยากลำบาก
พรรคเดโมแครตอาจเข้าควบคุมคณะกรรมาธิการที่สำคัญ ๆ ในสภาคองเกรส ซึ่งจะเปิดทางให้สามารถตรวจสอบและสอบสวนประเด็นปัญหาต่าง ๆ ได้ เช่น การทำธุรกิจของนายทรัมป์ และข้อกล่าวหาเรื่องพฤติกรรมทางเพศที่ไม่เหมาะสมของเขา
อย่างไรก็ตาม แม้พรรคเดโมแครตอาจยื่นญัตติเพื่อถอดถอนนายทรัมป์ออกจากตำแหน่งได้ แต่ก็อาจเป็นการกระทำที่ไร้ประโยชน์ หาก ส.ว. รีพับลิกันไม่ให้ความร่วมมือด้วย เพราะการจะถอดถอนผู้นำสหรัฐฯ ได้นั้นจะต้องได้รับเสียงสนับสนุนอย่างน้อย 2 ใน 3 จาก ส.ว. ทั้งหมด
ที่ผ่านมา มีประธานาธิบดีสหรัฐฯ เพียง 2 คน ที่ถูกยื่นถอดถอน คือ นายแอนดรูว์ จอห์นสัน และนายบิล คลินตัน แต่ทั้งคู่พ้นผิดมาได้ในขั้นการไต่สวนของวุฒิสภา ด้วยเหตุนี้ พรรคเดโมแครตจึงมีโอกาสที่จะกำจัดนายทรัมป์มากกว่าในการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ครั้งต่อไปในปี 2020
หากทรัมป์แพ้การเลือกตั้งโอกาศที่นโยบายต่างๆของทรัมป์จะไม่ผ่านร่างกฎหมาย ซึ่งแน่นอนว่าจะส่งผลให้เศรษฐกิจอเมริกาชะลอตัวลงอย่างแน่นอน เป็นเหตุให้ราคาทองอาจจะพุ่งขึ้นไปให้นักลงทุนได้ทำกำไรกันอย่างแน่นอน…
ที่มา : BBC
#ซื้อขายทองคำแท่ง #ซื้อขายทองคำแท่งออนไลน์ #ทองคำ
#อินเตอร์โกลด์ #InterGOLD #ลงทุนทองคำแท่ง
สามารถติดตามบทวิเคราะห์ได้
สนใจลงทุนทองคำแท่งหรือติดต
Website : www.intergold.co.th
Line : @intergold
Facebook : https://www.facebook.com/
Call : 02 – 2233 – 234