ในปัจจุบันถึง จีน และ อินเดีย จะเป็น 2 ประเทศที่บริโภคทองคำมากที่สุดในโลก โดยชาวจีนและชาวอินเดียต่างก็ให้คุณค่าแก่ทองคำ
ไม่เพียงแต่สำหรับเป็นเครื่องประดับเพื่อความงามเท่านั้น แต่ยังเป็นตัวสะท้อนความมั่นคงทางการเงินอีกด้วย มีการคำนวณกันว่าครัวเรือนชาวอินเดียถือครองทองคำรวมกันทุกบ้านเป็นจำนวนเท่าไหร่
พบว่าอยู่ที่ประมาณ 24,000 ตัน ซึ่งตัวเลขดังกล่าวเกินกว่าปริมาณทองคำสำรองของสหรัฐ เยอรมนี อิตาลี ฝรั่งเศส จีน และรัสเซียรวมกันเสียอีก
ก่อนปี 2008 การลงทุนของในทองคำของประเทศเยอรมณีแทบไม่ได้รับความสนใจ ซึ่งความต้องการของเยอรมนีในขณะนั้นมีความต้องการทองคำเฉลี่ยต่อปีที่ 17 ตัน
ขณะที่กองทุน ETC ที่หนุนด้วยทองคำไม่ได้รับความนิยมในตลาด ( ETCs ย่อมาจาก Exchange-Traded Commodity กองทุน ETCs จึงคือกองทุนที่ไปลงทุนในสินทรัพย์โภคภัณฑ์จำพวกทองคำ น้ำมัน)
จนกระทั่งปี 2007 เยอรมนีได้ก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำระดับโลกในการลงทุนทองคำกลายเป็นเรื่องราวที่น่าสนใจ และถือเป็นพัฒนาการอย่างเงียบๆ ในช่วงตลอดระยะเวลา 10 ปีที่ผ่านมา จากการเปิดเผยของ
usfunds.com และ World Gold Council กล่าวว่า สาเหตุสำคัญที่ทำให้การลงทุนทองคำในประเทศเยอรมนีได้รับความสนใจ ได้แก่ วิกฤตทางการเงินที่เกิดขึ้นในช่วงปี 2008
WGC กล่าวว่า ในขณะที่โลกกังวลเกี่ยวกับ Lehman Brothers นักลงทุนเยอรมันกังวลความมั่นคงของธนาคาร Landesbanks ซึ่งถือเป็นคู่ค้าที่มั่นคงของบริษัทต่าง ๆ ในเยอรมนี เมื่อธนาคารเริ่มเกิดการสั่นคลอน ทำให้คนจำนวนมากกังวลเกี่ยวกับเงินออมของพวกเขาและเพื่อแก้วิกฤตการเงิน ทำให้ธนาคารกลางยุโรป หรืออีซีบีต้องกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยการปรับลดอัตราดอกเบี้ย จนทำให้ธนาคารพาณิชย์เริ่มเรียกค่าธรรมเนียมจากการฝากเงินของลูกค้า ขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรของเยอรมันปรับตัวลดลงสู่ระดับติดลบ เหตุผลทั้งหมดนี้กระตุ้นให้นักลงทุนชาวเยอรมันสนใจในทองคำ เนื่องด้วยทองคำมีประวัติอันยาวนานในการปรับตัวขึ้น
นอกจากนี้ WGC ยังกล่าวเพิ่มเติมอีกว่า ชาวเยอรมันตระหนักดีว่า fiat currencies อาจไม่เสถียร และสูญเสียมูลค่ามหาศาลในอนาคต บ่งชี้จากผลสำรวจในปี 2016 พบว่า ชาวเยอรมันถึง 42% เชื่อมั่นในทองคำมากกว่าสกุลเงินดั้งเดิม นี่คือสิ่งที่เยอรมนี และอินเดียเห็นตรงกัน ความเชื่อมั่นในกลุ่มธนาคารพาณิชย์ก็ลดลงต่อเนื่องในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ทำให้ทองคำถูกมองว่าเป็น real money
และไม่ใช่เฉพาะนักลงทุนบุคคลในเยอรมันที่วางใจในทองคำ แม้แต่ธนาคาร Deutsche Bundesbank ซึ่งเป็นธนาคารกลางเยอรมนี ก็ใช้เวลา 4 ปีที่ผ่านมา ในการเรียกทองคำ จำนวน 674 ตัน ที่ถูกเคยเก็บรักษาใน New York และ Paris ในยุคสงครามเย็นกลับคืนสู่เยอรมนี การดำเนินการดังกล่าวเป็นการส่งคืนที่ใหญ่ที่สุดและมีมูลค่ามากที่สุด
ทำให้วันนี้ธนาคารกลางเยอรมนีกลายเป็นแหล่งจัดเก็บทองคำสำรองที่มากที่สุดเป็นอันดับ 2 ของโลก รองจาก Federal Reserve ถึงแม้ความต้องการการลงทุนทองคำของเยอรมนีจะแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ แต่นักวิเคราะห์จาก WGC เชื่อว่า ยังมีโอกาสสำหรับการเติบโตต่อไป อ้างอิงจากผลสำรวจที่แสดงให้เห็นความต้องการอย่างแข็งแกร่งที่แฝงอยู่ในประเทศเยอรมนี ยิ่งไปกว่านั้น 59% เห็นพ้องกันว่า “ทองคำจะไม่สูญเสียมูลค่าในระยะยาว” และนั่นถือว่าเป็นข่าวดีสำหรับนักลงทุนทองคำ
แต่รู้หรือไม่ว่า??!
จากสถิติของปี 2016 ทั้งจีนและอินเดียไม่ใช่นักลงทุนทองคำรายใหญ่ที่สุดของโลกอีกต่อไป ถ้าพิจารณาในแง่ของปริมาณทองคำสำรองจากรูปภาพที่แอดมินหามานะครับ จะพบว่าปริมาณทองคำสำรองของประเทศจีนจะตกไปอยู่ในระดับที่ 6 และประเทศอินเดียตกลงไปอยู่ในลำดับที่ 11 จากลำดับที่ 10 ในปีที่แล้ว อ้างอิงจาก World Gold Council (WGC) ถึงแม้ว่า “ตำแหน่งนักลงทุนทองคำรายใหญ่ที่สุดของโลก” จะถูกยกให้เยอรมนีด้วยมูลค่าการลงทุนมากถึง 8 พันล้านดอลลาร์ทั้งในทองคำแท่ง เหรียญทอง และกองทุนที่หนุนหลังด้วยสินค้าโภคภัณฑ์ (ETCs) แต่ถ้าพิจารณาด้านปริมาณทองคำสำรองระหว่างประเทศจะพบว่าประเทศเยอรมันนีจะอยู่ในลำดับที่ 2 น้อยกว่าประเทศสหรัฐอเมริกาอยู่หลายพันตัน ทำให้ราคาทองคำในวันนี้ก็ยังได้รับอิทธิพลจากเจ้ายักษ์ใหญ่อย่างพี่อเมริกาที่ถือเป็น Big Player ของเราอยู่ดีครับ…
ซื้อขายทองคำแท่ง #ซื้อขายทองคำแท่งออนไลน์ #ทองคำ
#อินเตอร์โกลด์ #InterGOLD #ลงทุนทองคำแท่ง
สามารถติดตามบทวิเคราะห์ได้
สนใจลงทุนทองคำแท่งหรือติดต
Website : www.intergold.co.th
Line : @intergold
Facebook : https://www.facebook.com/
Call : 02 – 2233 – 234
