ขณะนี้ เรื่องสุดฮอตที่มีการพูดกันจนเป็น Talk of the Town ก็คือการพุ่งขึ้นอย่างเหลือเชื่อของบิตคอยน์ ซึ่งถือเป็นสกุลเงินดิจิทัลที่มีความโดดเด่นที่สุดในท่ามกลางสกุลเงินดิจิทัลกว่า 1,000 สกุลทั่วโลก โดยในปีนี้ บิตคอยน์ได้ทะยานขึ้นถึง 1,600% นับตั้งแต่ต้นปีนี้ ซึ่งสูงกว่าอย่างมากเมื่อเทียบกับการลงทุนในหุ้น พันธบัตร น้ำมัน ทองคำ หรือแม้แต่การลงทุนในตลาดอัตราแลกเปลี่ยนทั่วไป ซึ่งทำให้มีการกล่าวกันว่า แท้จริงแล้วบิตคอยน์ไม่ได้เป็นสกุลเงิน แต่เป็นสินทรัพย์ประเภทหนึ่งที่นักลงทุนเข้าซื้อขายโดยหวังทำกำไร ไม่ใช่การแลกเปลี่ยนเป็นเงินอีกสกุลหนึ่ง
บิตคอยน์พุ่งขึ้นจากระดับ 6 เซนต์เมื่อ 7 ปีที่แล้ว ขณะที่ช่วงต้นปีนี้ บิตคอยน์มีมูลค่าไม่ถึง 1,000 ดอลลาร์ แต่เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว บิตคอยน์มีมูลค่าสูงกว่า 19,000 ดอลลาร์ หรือหมายความว่า 1 บิตคอยน์มีราคามากกว่า 630,000 บาท
*คาดบิตคอยน์แตะ 100,000 ดอลลาร์ก่อนสิ้นปีหน้า
นายเดฟ แชพแมน กรรมการผู้จัดการของบริษัทออคทากอน สตราเทจี คาดว่า บิตคอยน์จะมีมูลค่าพุ่งขึ้นเกิน 100,000 ดอลลาร์ก่อนสิ้นปีหน้า หรือ 1 บิตคอยน์จะมีมูลค่ามากกว่า 3,300,000 บาท
ก่อนหน้านี้ นายแชพแมนเคยคาดการณ์อย่างถูกต้องในช่วงต้นปีนี้ว่า บิตคอยน์จะมีมูลค่าพุ่งขึ้นทะลุ 10,000 ดอลลาร์ ซึ่งก็ได้ปรากฎขึ้นจริงในช่วงปลายเดือนพ.ย.
*คาดบิตคอยน์แตะ 1,000,000 ดอลลาร์ในอีก 20 ปี
ทางด้านนายชามาท ปาลิหาปิติยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของบริษัทโซเชียล แคปิตัล และอดีตผู้บริหารระดับสูงของเฟซบุ๊ก กล่าวว่า บิตคอยน์จะดีดตัวแตะระดับ 100,000 ดอลลาร์ในช่วง 3-4 ปีข้างหน้า และทะยานแตะระดับ 1,000,000 ดอลลาร์ในอีก 20 ปี
มีการคำนวณกันว่า หากนักลงทุนคนหนึ่งได้ซื้อบิตคอยน์มูลค่า 1,000 ดอลลาร์ในปี 2556 และไม่เคยขายออกไป ในขณะนี้บิตคอยน์ที่เขาถืออยู่จะมีมูลค่าถึง 1.2 ล้านดอลลาร์ หรือเกือบ 40 ล้านบาท
ขณะเดียวกัน มูลค่าตลาดของบิตคอยน์ทั้งหมดในระบบพุ่งสูงถึง 2.83 แสนล้านดอลลาร์ ซึ่งสูงกว่ามูลค่าตลาดของบริษัทวีซ่า หรือโกลด์แมน แซคส์ และมากกว่าของซิตี้กรุ๊ป และแบล็คร็อครวมกัน
*บิตคอยน์ชิดซ้าย เมื่อเจอ”ไลท์คอยน์”พุ่งเกือบ 5,800% จากต้นปีนี้
อย่างไรก็ดี การพุ่งขึ้น 1,600% ของบิตคอยน์ในปีนี้ ยังถือว่าเด็กๆ เมื่อเทียบกับไลท์คอยน์ ซึ่งเป็นสกุลเงินดิจิทัลที่มีมูลค่าตลาดสูงเป็นอันดับ 4 ของโลก โดยไลท์คอยน์ดีดตัวแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์เมื่อวานนี้ ขณะที่ทะยานขึ้นเกือบ 5,800% นับตั้งแต่ต้นปีนี้
ทั้งนี้ ไลท์คอยน์พุ่งแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ระดับ 255.42 ดอลลาร์เมื่อวานนี้ หลังจากอยู่ที่ระดับ 4.36 ดอลลาร์ในวันที่ 1 ม.ค. ซึ่งเทียบเท่ากับการพุ่งขึ้น 5,758.20% นับตั้งแต่ต้นปีนี้
ขณะนี้ไลท์คอยน์มีมูลค่าตลาด 1.44 หมื่นล้านดอลลาร์
นักวิเคราะห์ระบุว่า การทะยานขึ้นของไลท์คอยน์เกิดจากสาเหตุที่สกุลเงินดิจิทัลต่างๆ เริ่มได้รับความนิยมมากขึ้น ส่งผลให้นักลงทุนให้ความสนใจเข้าซื้อขายมากขึ้น และไลท์คอยน์ยังได้ประโยชน์จากการทำธุรกรรมที่ใช้เวลาเร็วกว่าบิตคอยน์ ส่วนอีกเหตุผลหนึ่งก็คือการที่นักลงทุนพากันกระจายการลงทุนในสกุลเงินดิจิตัลต่างๆ ในขณะที่ปัจุบันนี้มีสกุลเงินดิจิทัลมากกว่า 1,000 สกุลทั่วโลก
*อีเธอเรียมทะยานขึ้นมากกว่า 5,000% จากต้นปีนี้
ขณะเดียวกัน อีเธอเรียม ซึ่งเป็นสกุลเงินดิจิทัลที่มีมูลค่าตลาดมากที่สุดเป็นอันดับ 2 ของโลก รองจากบิตคอยน์ ก็ได้ทะยานขึ้นมากกว่า 5,000% จากต้นปีนี้ หลังจากพุ่งทะลุ 600 ดอลลาร์เป็นครั้งแรกเมื่อวานนี้ แตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ระดับ 635 ดอลลาร์
การทะยานขึ้นของอีเธอเรียมได้แรงหนุนจากข่าวที่ว่า ยูบีเอส ซึ่งเป็นธนาคารยักษ์ใหญ่ของสวิตเซอร์แลนด์ จะเป็นผู้นำในการใช้แพลทฟอร์มบล็อคเชนที่อิงจากสกุลเงินอีเธอเรียม พร้อมกับธนาคารอีกหลายแห่ง เช่น บาร์เคลย์ส และเครดิต สวิส
นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า การที่คณะกรรมาธิการซื้อขายสัญญาล่วงหน้าสินค้าโภคภัณฑ์ (CFTC) ของสหรัฐ มีมติอนุมัติให้เปิดการซื้อขายสัญญาบิตคอยน์ในตลาด CBOE Global Markets Inc และ Chicago Mercantile Exchange (CME) ซึ่งเป็นตลาดซื้อขายสัญญาฟิวเจอร์สที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก จะปูทางให้อีเธอเรียมกลายเป็นสกุลเงินดิจิทัลลำดับถัดไปที่จะก้าวเข้าสู่วอลล์สตรีท
In Focus ในสัปดาห์นี้ เราจะมาวิเคราะห์ถึงสาเหตุที่ทำให้บิตคอยน์ ซึ่งเป็นสกุลเงินดิจิทัลที่มีมูลค่าตลาดมากที่สุดเป็นอันดับ 1 ของโลก พุ่งขึ้นอย่างมากในปีนี้ และพิจารณาคำแนะนำของนักวิเคราะห์สำหรับนักลงทุนหน้าใหม่ที่กลัวจะตกขบวนการลงทุนในบิตคอยน์ว่า บิตคอยน์จะรุ่งโรจน์ หรือรุ่งริ่ง
*สาเหตุการทะยานขึ้นของบิตคอยน์
สาเหตุสำคัญที่ทำให้บิตคอยน์พุ่งขึ้นอย่างมากในช่วงที่ผ่านมา คือการที่คณะกรรมาธิการซื้อขายสัญญาล่วงหน้าสินค้าโภคภัณฑ์ (CFTC) ของสหรัฐมีมติอนุมัติคำขอเปิดการซื้อขายสัญญาบิตคอยน์ของ Chicago Mercantile Exchange (CME) ซึ่งเป็นตลาดซื้อขายสัญญาฟิวเจอร์สที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก และ CBOE Global Markets Inc หลังจากที่ CME และ CBOE สามารถแสดงให้เห็นว่าการซื้อขายสัญญาบิตคอยน์ไม่ขัดต่อกฎระเบียบควบคุมการซื้อขายตราสารอนุพันธ์ของสหรัฐ
ทั้งนี้ CBOE ได้เริ่มทำการซื้อขายสัญญาบิตคอยน์ในวันที่ 10 ธ.ค. ขณะที่ CME จะเริ่มทำการซื้อขายสัญญาบิตคอยน์ในวันที่ 18 ธ.ค.
ขณะเดียวกัน Nasdaq Inc ก็มีแผนที่จะเปิดการซื้อขายสัญญาบิตคอยน์ในปีหน้าเช่นกัน
การที่บิตคอยน์ได้รับการยอมรับจากตลาดการเงินขนาดใหญ่ของโลกในฐานะตราสารอนุพันธ์ ถือเป็นอีกก้าวหนึ่งในพัฒนาการของบิตคอยน์ในการเป็นสินทรัพย์ที่มีความมั่นคง และมีเสถียรภาพมากยิ่งขึ้น หลังจากที่ก่อนหน้านี้บิตคอยน์ถูกมองว่าไม่น่าเชื่อถือ เนื่องจากไม่มีหน่วยงานเข้ากำกับดูแล และมีการปรับตัวที่ผันผวน รวมทั้งถูกมองว่าเป็นแหล่งฟอกเงินของกลุ่มมิจฉาชีพ
ด้านนายวาเลนติน มารินอฟ หัวหน้านักวิเคราะห์อัตราแลกเปลี่ยนของเครดิต อะกริโคล กล่าวว่า การดีดตัวของบิตคอยน์เกิดจากภาวะไร้สมดุลระหว่างอุปสงค์และอุปทาน เนื่องจากปริมาณของบิตคอยน์มีอยู่อย่างจำกัดในตลาด ซึ่งก็เหมือนกับทองคำที่หาได้ยาก ขณะที่อุปสงค์มีไม่จำกัด จากความหวังของนักลงทุนที่ว่ามูลค่าของบิตคอยน์จะเพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆ
ทั้งนี้ ปริมาณของบิตคอยน์ถูกจำกัดไว้ที่จำนวน 21 ล้านบิตคอยน์ ขณะที่ปัจจุบันมีบิตคอยน์จำนวน 16.7 ล้านบิตคอยน์อยู่ในระบบ โดยมีบิตคอยน์ใหม่ๆ เกิดขึ้นจำนวน 12.5 บิตคอยน์ในทุกๆ 10 นาทีผ่านทางกระบวนการที่เรียกว่า “ขุดเหมือง” ซึ่งเป็นการใช้เครือข่ายคอมพิวเตอร์ในการแก้โจทย์คณิตศาสตร์ เพื่อแลกกับผลตอบแทนเป็นบิตคอยน์
อีกสาเหตุหนึ่งที่หนุนราคาบิตคอยน์คือ การที่บิตคอยน์เริ่มได้รับความนิยมมากขึ้นจากภาคธุรกิจในการรับเป็นสกุลเงินที่สามารถชำระค่าสินค้า และบริการได้ ขณะที่ภาคธนาคาร หรือสถาบันการเงินบางแห่งก็มีการตั้งตู้ ATM บริการสำหรับบิตคอยน์ เช่นในสหรัฐ แคนาดา และสวีเดน ส่วนโกลด์แมน แซคส์ก็ได้เตรียมเปิดตัวระบบซื้อขายสกุลเงินดิจิทัล และไพร้ซวอเตอร์เฮาส์คูเปอร์ สาขาฮ่องกง ได้เปิดเผยว่า บริษัทยอมรับการชำระเงินค่าบริการที่ปรึกษาด้วยบิตคอยน์
นอกจากนี้ การที่นักลงทุนสถาบัน นักลงทุนรายย่อย และกองทุนต่างๆ หันมาซื้อขายบิตคอยน์มากขึ้น ก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่หนุนราคาในตลาด โดยเฉพาะในญี่ปุ่น ซึ่งมูลค่าการซื้อขายบิตคอยน์ในรูปสกุลเงินเยนขณะนี้มีสัดส่วนราว 60% ของมูลค่าการซื้อขายทั้งหมด
ขณะเดียวกัน ความสนใจของนักลงทุนในสหรัฐก็ได้เพิ่มขึ้นเช่นกัน โดยมีนักลงทุนเพิ่มขึ้นถึง 300,000 รายที่เข้าซื้อขายบิตคอยน์ผ่านแพลทฟอร์ม Coinbase ของสหรัฐในช่วงเทศกาลวันขอบคุณพระเจ้า
และสุดท้าย บิตคอยน์ยังได้ปัจจัยบวกจากการที่ bitFlyer ซึ่งเป็นตลาดซื้อขายบิตคอยน์ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก จะทำการเปิดตัวในสหรัฐ
*ความเสี่ยงของบิตคอยน์
ถึงแม้บิตคอยน์มีผลตอบแทนที่น่าจูงใจเป็นอย่างมาก แต่นักวิเคราะห์ก็ได้ออกมาเตือนเกี่ยวกับความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น จากการที่บิตคอยน์อาจทรุดตัวลงอย่างหนัก จนทำให้นักลงทุนที่ซื้อขายบิตคอยน์ในตลาดฟิวเจอร์สถูกบังคับขายตามมาตรการฟอร์ซเซล หรือถูกบังคับให้จ่ายค่าวางหลักประกันเพิ่ม (margin calls)
นอกจากนี้ ที่มาของบิตคอยน์ก็ยังคงเป็นปริศนา โดยบิตคอยน์ถูกสร้างขึ้นมาโดยคนหรือกลุ่มคนที่ใช้ชื่อว่า “ซาโตชิ นากาโมโตะ” ซึ่งไม่เคยเปิดเผยตัวตน และบิตคอยน์ก็มักถูกกล่าวกันว่าเป็นแหล่งฟอกเงินของขบวนการอาชญากร
ขณะเดียวกัน ก็มีผู้ตั้งคำถามเกี่ยวกับความปลอดภัยของบิตคอยน์ หลังจากมีรายงานว่า NiceHash ซึ่งเป็นเว็บไซต์ให้บริการขุดบิตคอยน์ชื่อดัง ถูกแฮกเกอร์เจาะเข้าระบบและโจรกรรมบิตคอยน์มูลค่าเกือบ 70 ล้านดอลลาร์เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ขณะที่ในปี 2557 Mt. Gox ซึ่งเป็นเว็บไซต์ในกรุงโตเกียวที่รับแลกเปลี่ยนบิตคอยน์ขนาดใหญ่ที่สุดในโลกในเวลานั้น ได้ประกาศปิดเว็บไซต์และหยุดให้บริการ เนื่องจากถูกแฮกเกอร์ขโมยบิตคอยน์จำนวน 850,000 หน่วย คิดเป็นมูลค่าถึง 450 ล้านดอลลาร์
*นานาทัศนะจากผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับบิตคอยน์
ถึงแม้บิตคอยน์มีผลตอบแทนที่พุ่งสูงจนน่าเย้ายวนใจ แต่ก่อนที่เราจะควักเงินในกระเป๋าเพื่อซื้อบิตคอยน์โดยหวังรวยในช่วงข้ามคืน ลองมาฟังความเห็นของนักวิเคราะห์ หรือเจ้าหน้าที่ซึ่งเกี่ยวข้องเสียก่อน
-บิตคอยน์เหมือนสกุลเงินยุคอาณานิคม ก่อนกลายเป็นเศษกระดาษ
นายอลัน กรีนสแปน อดีตประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) กล่าวว่า บิตคอยน์ทำให้เขานึกถึงสกุลเงินที่มีการใช้กันในสหรัฐในยุคอาณานิคม ก่อนที่จะไร้ค่ากลายเป็นเศษกระดาษในที่สุด
นายกรีนสแปนเปรียบบิตคอยน์เหมือนกับสกุลเงินที่มีการใช้ในสหรัฐในปี 2318 ก่อนที่จะไม่มีค่าในปี 2325 แม้ว่าในระหว่างปีดังกล่าว จอร์จ วอชิงตันสามารถใช้เงินเหล่านี้ซื้ออาวุธ และสินค้าอย่างอื่นๆได้ก็ตาม
นายกรีนสแปนระบุว่า แม้ว่าสภาคองเกรสในสมัยนั้นประกาศว่าเงินเหล่านี้สามารถชำระหนี้ได้ตามกฎหมาย แต่มูลค่าของเงินก็ได้ถูกกำหนดขึ้นจากปริมาณธนบัตรที่มีการพิมพ์ออกมา และความต้องการสำหรับธนบัตรเหล่านี้ แทนที่จะอิงกับทองคำ หรือโลหะเงิน
-บิตคอยน์เป็นเรื่องต้มตุ๋น
นายเจมี ไดมอน ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของธนาคารเจพีมอร์แกน เชส ออกมากล่าวโจมตีบิตคอยน์ว่า เป็นเรื่องต้มตุ๋น ซึ่งท้ายที่สุดแล้วจะประสบความล้มเหลวอย่างแน่นอน
นายไดมอนกล่าวว่า บิตคอยน์เป็นเรื่องของการหลอกลวง ไม่ใช่เรื่องจริง และท้ายที่สุดแล้วจะต้องปิดฉากลง
ก่อนหน้านี้ นายไดมอน กล่าวว่า กระแสคลั่งไคล้ในบิตคอยน์ชวนให้เขาหวนนึกถึงกระแสคลั่งดอกทิวลิปในยุคศตวรรษที่ 17 แต่บิตคอยน์เลวร้ายกว่านั้นมาก
นอกจากนี้ ซีอีโอของเจพีมอร์แกน ยังยืนกรานด้วยว่า ทางธนาคารจะไม่อนุญาตให้เทรดเดอร์ซื้อขายบิตคอยน์อย่างเด็ดขาด โดยระบุว่า “เป็นการฝ่าฝืนกฎเกณฑ์ของเราและเป็นเรื่องโง่เขลาสิ้นดี”
-บิตคอยน์ถือเป็นภาวะฟองสบู่ครั้งใหญ่
นายไมเคิล โนโวแกรตซ์ อดีตผู้จัดการกองทุนเฮดจ์ฟันด์ฟอร์เทรส กล่าวว่า “ผมคิดว่าบิตคอยน์จะกลายเป็นภาวะฟองสบู่ที่ใหญ่ที่สุดในชั่วชีวิตของเราไปอีกนาน”
“ผมขอพูดอย่างจริงใจว่า นี่เป็นฟองสบู่ชัดๆ และมีเรื่องราวไม่ชอบมาพากลมากมาย”
ส่วนนายแกรนท์ สเปนเซอร์ ว่าที่ผู้ว่าการธนาคารกลางนิวซีแลนด์ กล่าวเช่นกันว่า “บิตคอยน์ดูเหมือนเป็นภาวะฟองสบู่ที่กำลังก่อตัวขึ้น ซึ่งเราได้เห็นมาแล้วในอดีต โดยในช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมา เราได้เห็นภาวะฟองสบู่หลายครั้ง และครั้งนี้ก็ถือเป็นตัวอย่างที่คลาสสิค”
-หากคิดจะลงทุนในบิตคอยน์ ก็เตรียมตัวเจ๊งได้เลย
นายมาร์ค คูแบน นักธุรกิจระดับมหาเศรษฐีพันล้าน กล่าวว่า “เป็นเรื่องโอเคที่คุณจะใช้เงินเก็บหอมออมริบของคุณจำนวน 10% มาลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยง ซึ่งรวมถึงบิตคอยน์ แต่คุณก็เตรียมทำใจได้เลยว่าคุณจะไม่ได้เงินดังกล่าวกลับคืนมา”
-บิตคอยน์เหมือนเล่นเกมเศรษฐี
นายจิม เครเมอร์ นักวิเคราะห์ของสำนักข่าว CNBC กล่าวว่า “บิตคอยน์ก็เหมือนการเล่นเกมเศรษฐี และในจุดนี้ มันก็เหมือนการเล่นการพนัน แต่ถ้าคุณอยากเล่นการพนันละก็ ผมขอแนะนำให้ไปลาส เวกัสดีกว่า เพราะที่นั่นตื่นตาตื่นใจมากกว่า”
-ลงทุนในบิตคอยน์ก็เหมือนไปลาส เวกัส
นายโทนี่ รอบบิ้นส์ ซึ่งเป็นมหาเศรษฐีชื่อดัง กล่าวว่า “ผมคิดว่าบิตคอยน์มีแต่ปัญหา ผมไม่รู้ว่าราคาพุ่งขึ้นได้อย่างไร ผมดูแล้วมันก็เหมือนกับการไปลาส เวกัส ดังนั้น ก็จงเสี่ยงพนันไปเท่าที่คุญสามารถรับผลขาดทุนไหว”
-จงหลีกเลี่ยงบิตคอยน์เหมือนเป็นโรคระบาด
นายแจ็ค โบเกิล ซึ่งเป็นนักลงทุนชื่อดัง กล่าวว่า “จงหลีกเลี่ยงบิตคอยน์ราวกับว่ามันเป็นโรคระบาด หวังว่าผมคงพูดชัดเจนนะครับ”
“บิตคอยน์ไม่มีอัตราผลตอบแทนพื้นฐานที่จะให้คุณ ขณะที่พันธบัตรยังมีอัตราผลตอบแทนหน้าตั๋ว และหุ้นก็ยังมีผลประกอบการ และจ่ายเงินปันผล แต่ไม่มีอะไรที่จะมาสนับสนุนบิตคอยน์ ยกเว้นความหวังลมๆแล้งๆที่ว่าคุณจะสามารถขายมันให้แก่ใครบางคนในราคามากกว่าที่คุณได้ซื้อมา”
-บิตคอยน์จะปรับตัวสูงสุดคืนสู่สามัญ
นายทอม ปีเตอร์ฟาย ผู้ก่อตั้งบริษัทอินเตอร์แอคทีฟ โบรกเกอร์ คาดการณ์ว่า บิตคอยน์จะปรับตัวขึ้นไปเรื่อยๆ จนกระทั่งแตะระดับ 100,000 ดอลลาร์ หรือมากกว่านั้น ก่อนที่จะทรุดตัวลงสู่ระดับ 0 ดอลลาร์ และจะกระทบต่อสถานะการเงินของบริษัทโบรกเกอร์รายย่อย
“บริษัทโบรกเกอร์ขนาดเล็กจะล้มละลาย และบิตคอยน์จะส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพของบริษัทรับชำระบัญชี”
-บิตคอยน์ติดอันดับความเสี่ยงต่อตลาดการเงินในปีหน้า
นายทอร์สเตน สล็อค นักวิเคราะห์ของดอยซ์แบงก์ ระบุว่า จากการจัดทำรายการปัจจัยความเสี่ยง 30 อันดับต่อตลาดการเงินในปีหน้า การทรุดตัวของบิตคอยน์เป็นหนึ่งในปัจจัยดังกล่าว เนื่องจากมูลค่าของบิตคอยน์ได้พุ่งทะยานขึ้นอย่างมากในช่วงที่ผ่านมา โดยยังไม่มีการปรับฐานรับความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต
*จะซื้อบิตคอยน์ได้อย่างไร
หลังจากที่ได้ฟังคำเตือนของผู้เชี่ยวชาญถึงบรรดาความเสี่ยงของบิตคอยน์แล้ว หากยังคงมีผู้สนใจที่อยากลองเข้าซื้อบิตคอยน์ เขาก็จะต้องมี e-Wallet ซึ่งเป็นกระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์สำหรับใส่บิตคอยน์เสียก่อน แล้วทำการเชื่อมต่อไปยังเว็บไซต์ หรือแอพพลิชั่นที่จะสามารถซื้อบิตคอยน์ โดย Coinbase.com นับเป็นเว็บไซต์ และแอพพลิชั่นสำหรับการซื้อขายบิตคอยน์ที่ได้รับความนิยมอย่างสูง และ Coinbase ก็สามารถทำสถิติเป็นแอพพลิเคชั่นที่ได้รับความนิยมอันดับ 1 ใน App Store ของบริษัทแอปเปิล อิงค์ ขณะที่มูลค่าการซื้อขายบิตคอยน์บน Coinbase มีสัดส่วนถึง 1 ใน 3 ของมูลค่าการซื้อขายบิตคอยน์ทั่วโลก
เมื่อเข้าไปยังเว็บไซต์ หรือแอพพลิชั่นสำหรับการซื้อขายบิตคอยน์แล้ว ก็ให้ทำการเปิดบัญชีซื้อขาย และระบุหมายเลขบัญชีธนาคารที่ต้องการผูกเข้ากับการทำธุรกรรมซื้อขายบิตคอยน์ ก่อนที่จะทำการซื้อบิตคอยน์เก็บเข้าไปใน e-Wallet หรือจะขายออกมาในภายหลัง
เนื่องจากขณะนี้บิตคอยน์มีราคาแพงมาก หากเราต้องการซื้อบิตคอยน์ก็อาจไม่จำเป็นต้องซื้อทั้งหน่วยบิตคอยน์ โดยอาจจะซื้อหน่วยเล็กที่สุดของบิตคอยน์ที่เรียกว่า “ซาโตชิ” ซึ่งตั้งชื่อตาม “ซาโตชิ นากาโมโตะ” ซึ่งเชื่อกันว่าเป็นคน หรือกลุ่มคนที่เป็นผู้สร้างบิตคอยน์ขึ้นมาในปี 2551 โดยขณะนี้ 1 ซาโตชิมีมูลค่าราว 0.0002 ดอลลาร์
นอกจากนี้ เราขอแนะนำให้นักลงทุนเข้าศึกษาข้อมูลและรับทราบข่าวคราวความคืบหน้าเกี่ยวกับบิตคอยน์ และสกุลเงินดิจิทัลในเว็บไซต์ Coindesk.com ซึ่งเป็นแหล่งข้อมูลเกี่ยวกับบิตคอยน์ที่ได้รับความนิยมอย่างมากในขณะนี้
อย่างไรก็ตาม ธนาคารแห่งประเทศไทยยังไม่ได้ให้การยอมรับบิตคอยน์เป็นสกุลเงินที่สามารถใช้ชำระหนี้ได้ตามกฎหมาย ดังนั้น นักลงทุนจึงต้องแบกรับความเสี่ยงเองทั้งหมด ตามหลัก High-Risk High-Return ผู้ที่จะลงทุนจึงควรศึกษาข้อมูลอย่างรอบด้าน และเงินที่นำมาลงทุนก็ควรเป็นเงินเย็น
ขณะนี้ใกล้สิ้นปีแล้ว และใกล้วันขึ้นปีใหม่ เราจึงขอให้โชคดีจงเป็นของนักลงทุนทุกท่าน และขอมอบคาถาให้นักลงทุนท่องจำให้ขึ้นใจ เพื่อให้สามารถอยู่รอดปลอดภัยในตลาด
***การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลก่อนการตัดสินใจลงทุน***