เมื่อแชร์ลูกโซ่ที่ใหญ่ที่สุดในโลก
กำลังจะล่มสลาย…
ในบทความนี้เราจะมาพูดถึงเรื่องแชร์ลูกโซ่ที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ครับ ทุกคนเชื่อไหมครับว่า เรากำลังอยู่ในแชร์นี้กันแบบไม่รู้ตัว
ทำไมผมถึงบอกว่าทุกคนอยู่ในวงจรแชร์ลูกโซ่นี้ วันนี้ Trader Intergold จะมาเล่าให้ฟังครับ…
ผมขอเกริ่นถึงแชร์ลูกโซ่คืออะไรก่อนนะครับ สิ่งนี้เกิดจากทฤษฎีความโลภล้วนๆครับ โดยจุดเริ่มต้นจะมาจากการที่หลอกลวงผู้คนต่างๆ ว่าลงทุนแล้วจะได้เงินกลับมาหลายเท่า หรือได้ผลตอบแทนน่าดึงดูด เช่นเดือนละ 10% โดยอาจจะอ้างว่าลงทุนหุ้นบ้าง สกุลเงินดิจิทัลบ้าง หรือลงทุนในอสังหาริมทรัพย์บ้าง หรือแม้แต่ที่เราเห็นกันผ่านข่าวก็คือลงทุนในวัวก็ยังมี แต่ในความเป็นจริงนั้นเป็นไปไม่ได้เลยที่จะทำผลตอบแทนได้ขนาดนั้นครับ แต่ทำไมผู้คนจำนวนมหาศาลถึงยังถูกหลอกได้ สาเหตุเนื่องมาจากห่วงโซ่แรกๆ นั้นได้ผลตอบแทนนี้จริงครับ โดยจะนำเงินของผู้ที่เข้ามาทีหลังมาจ่ายรอบวงนั่นเองและคนพวกนี้ก็จะแนะนำต่อไปเรื่อยๆ ครับจนห่วงโซ่นี้ขยายใหญ่อย่างไม่น่าเชื่อ เมื่อกองเงินมหาศาลมากพอ เจ้ามือก็จะชิ่งหนีนั่นเองครับ
ความคิดของทุกคนอาจมองว่าพวกเราเป็นนักลงทุน มีความรู้ มีการศึกษามาบ้างคงไม่โดนหลอกแน่ๆใช่ไหมครับ แต่บางสิ่งบางอย่างเราอาจถูกกลืนกินจากสิ่งที่เรารับรู้โดยไม่รู้ตัวครับ ผมจะมาเล่าถึงแชร์ลูกโซ่ที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์นะครับ ซึ่งหนีไม่พ้นประเทศมหาอำนาจต่างๆ นั่นเอง ไม่ว่าจะเป็น สหรัฐฯ สหภาพยูโรปหรือประเทศต่างๆที่พิมพ์เงินเองได้โดยไม่ต้องมีสินทรัพย์ค้ำประกันครับ
ผมยกตัวอย่างให้เห็นภาพง่ายขึ้นนะครับ ทุกคนเคยได้ยินหนี้ต่อ GDP ไหมครับ โดยอ้างอิงรูปด้านล่างนี้นะครับ โดยหนี้ต่อ GDP สหรัฐฯนั้นปาเข้าไปมากกว่า 130% แล้วครับ โดยเพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่องทุกๆ ปี ตามทฤษฎีแล้วมันก็ตรงตัวครับคือหารายได้มาไม่พอที่จะจ่ายหนี้นั่นเองครับ และสิ่งที่ทำก็ง่ายๆครับแค่กู้ของใหม่มาโปะของเก่าครับ โดยที่ธนาคารกลางกับรัฐบาลก็เข้าขากันอย่างดีเหลือเกินครับ
ซึ่งสิ่งที่ยังค้ำจุนหนี้สินนี้ได้คืออะไรครับ ผมอาจกล่าวได้ว่าเป็นความเชื่อมั่น กับการที่เราถูกกระแสสังคมหล่อหลอม ทำให้เพิกเฉยต่อมันเท่านั้นเองครับ ผมสมมุตินะครับ ถ้ารัฐบาลชุดนึงบอกจะแจกเงินให้กับประชาชนให้ความเป็นอยู่ดีขึ้น กับอีกชุดนึงบอกว่าจะขึ้นภาษีประชาชน คุณคิดว่าประชาชนจะเลือกใครครับ คำตอบง่ายมากครับทุกคนเลือกความสบายครับ แต่ถ้ามองถึงปัจจัยสำคัญจริงๆ อาจกล่าวได้ว่า วิธีที่ 2 อาจนำไปสู่หายนะที่น้อยกว่าครับ เพราะระบบการเงินจะแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้นครับ
พูดง่ายๆคือเรากำลังอยู่ในห่วงโซ่ที่ไม่มีวันจบ โดยไม่มีเงินที่มาจากรายได้ที่แท้จริงเพื่อมาจ่ายเงินต้น วิธีแก้ปัญหาคือกู้มากขึ้นเรื่อยๆเพื่อมาจ่ายดอกเบี้ยกับเงินต้นครับ ซึ่งเมื่อประชาชนหรือใครก็ตามแต่ยังเชื่อมั่นว่าประเทศนั้นๆไม่เบี้ยวหนี้แน่ๆ ระบบแบบนี้ก็ยังไปต่อได้ครับ แต่เมื่อไหร่ที่มีการเบี้ยวขึ้นมาครั้งเดียว วันนั้นห่วงโซ่นี้ก็จะล่มสลายลงครับ เรามีเหตุการณ์อ้างอิงได้จากความเชื่อมั่นได้ดีจากวิกฤติของสกุลเงินดิจิทัลล่าสุดอย่าง UST ที่หลุด Peg นะครับว่าความเชื่อมั่นสำคัญยังไง
งั้นผมขออ้างอิงถึงลางบอกเหตุนิดนึงนะครับ
ผมเอาตารางนี้มาให้ดูเพื่ออะไร หลายคนคงสงสัยใช่ไหมครับ ตารางนี้บอกถึง สกุลเงินที่ถูกใช้เป็นหลักค้ำประกันของประเทศต่างๆ ครับ หรือให้ง่ายกว่านั้นคือ ประเทศอื่นๆเป็นเจ้าหนี้ของประเทศไหนเยอะสุดครับซึ่งเราจะเห็นเลยว่า สหรัฐฯ และ ยูโรเป็นอันดับ 1 กับ 2 ครับ ส่วนเจ้าหนี้ก็กระจายเต็มไปหมดทั่วโลกครับ
แล้วลางบอกเหตุคืออะไร จุดสำคัญคือ สงครามยูเครนรัสเซียเปลี่ยนกระแสการเงินโลกนั่นเองครับ เมื่อรัสเซีย จุดฉนวนความไม่เชื่อมั่นใน ดอลลาห์ครับ เนื่องจากว่าเมื่อเกิดวิกฤติอะไรขึ้นมาจริงๆ เงินที่คุณคิดว่าปลอดภัยนั้น จะไม่ปลอดภัยอีกต่อไปครับ เราจะเห็นข่าวบ่อยครั้งครับ กับการอายัดเงินครับ จริงๆแล้วก่อนหน้านี้เราอาจไม่สนใจครับ แต่ก็เกิดมาบ่อยครั้งครับ จากการ คว่ำบาตรประเทศต่างๆของสหรัฐฯครับ ดังนั้นประเทศต่างๆ จึงเริ่มหันมาลดการถือคลอง ดอลลาห์ และยูโรลงครับ เพื่อเพิ่มอำนาจในการต่อรองและการถูกกดขี่ครับ
ซึ่งย้อนกลับไปที่ห่วงโซ่ที่เราพูดถึงก็อาจกล่าวได้ว่า คนในห่วงโซ่เริ่มเล็กลงครับ สิ่งนี้จะเป็นผลกระทบใหญ่อันใกล้ที่กำลังจะเกิดได้เลยครับ เนื่องจากว่าจะไปหาเจ้าหนี้รายใหญ่รายใหนมารับช่วงแทนหละครับ ??
สรุปนะครับ บางสิ่งบางอย่างเราอาจคิดว่าถูก แต่อาจไม่ใช่ก็ได้ครับ บางทีเราอาจคิดว่าฉลาด แต่อาจเป็นคนโง่โดยไม่รู้ตัวครับ อย่างที่ อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ เคยกล่าวไว้ครับว่า เวลา กับการเคลื่อนที่มันอยู่ที่ผู้สังเกตุการณ์มองครับ ไม่ใช่คนที่อยู่ในเหตุการณ์รู้สึกครับ
ในเรื่องการลงทุนอาจมองได้ว่า สกุลเงินอาจมีความน่าเป็นห่วงในระยะอันใกล้ครับ ในส่วนการค้าโลกก็ระส่ำระส่ายครับ ตลาดหุ้นอาจปรับตัวช่วง 2 ปีนี้ครับ ตลาดพันธบัตรมีโอกาสจะปรับผลตอบแทนสูงขึ้นต่อเนื่องครับ ถ้าถามว่าเราจะถืออะไร ผมมองว่าอยู่ที่ระยะเวลาที่เราต้องการครับ ถ้าเรามอง 5 ปีข้างหน้า ผมอาจบอกว่าตลาดหุ้นก็น่าสนใจครับ บาง Sector หรือหุ้นบ้างกลุ่มก็ถือว่าเราได้ของถูกครับ แต่ถ้ามอง ปีนี้ปีหน้าผมอาจบอกว่าทองคำ กับเงินสดก็ไม่แย่ครับเนื่องจากรักษามูลค่าได้ดีที่สุดครับ
มีความคิดเห็นยังไงก็แชร์กันได้นะครับ มีโอกาสครั้งหน้ามีจะมาแชร์เรื่องสนุกๆ และได้ความรู้อีกครับผม