January Effect เตรียมตัวรับมือขาขึ้นของทองคำในเดือนมกราคม
===============================
ใกล้จะจบปี 2022 เข้าไปทุกที เพื่อนๆนักลงทุนรู้หรือไม่ว่าช่วงปลายเดือนธันวาคมถึงกลางเดือนมกราคมจากสถิติย้อนหลัง 10 ปีมีโอกาสที่ราคาทองจะปรับตัวขึ้นสูงมากเป็นอัตราส่วนถึง 7 ใน 10 เลยในเดือนมกราคม โดยในทางศัพท์การลงทุนเราเรียกกันว่า January Effect
January Effect คือทฤษฎีที่ตลาดหุ้นจะปรับตัวขึ้นในเดือนมกราคม เนื่องจากนักลงทุนจะขายทำกำไรจากการลงทุนช่วงสิ้นปีก่อนหยุดยาว และช่วงเดือนมกราคมจะกลับเข้ามาลงทุนใหม่อีกครั้งในสินทรัพย์ที่ราคายังไม่แพง คำอธิบายที่เป็นไปได้อีกทางหนึ่งคือนักลงทุนซื้อคืนภาษีช่วงต้นปี หรืออาจจะนำเงินโบนัสช่วงสิ้นปีมาลงทุนในช่วงเดือนถัดไป
.
หลายคนอาจบอกว่าเหตุการณ์แบบนี้มันเกิดแค่ในตลาดหุ้นหรือเปล่าแต่ทาง Intergold อยากจะบอกว่าในตลาดทองคำก็มี Effect แบบนี้เช่นกัน ตามข้อมูลย้อนหลัง 10 ปี ของราคาเปิดและราคาปิดในเดือนมกราคม ปรากฏว่า 7 ใน 10 หรือกว่า 70% ในเดือนมกราคมทองคำมักเปิดขาขึ้นหรือปิดบวกครับ
ตามตารางด้านล่าง
.
โดยถึงแม้ว่า 2 ปีล่าสุดมานี้ทองคำจะออกมาปิดลบ 2 ปีซ้อนเลยในเดือนมกราคม แต่ด้วยสัญญาณทางเทคนิคบวกกับปัจจัยพื้นฐานช่วงสิ้นปีนี้เริ่มส่งสัญญาณดีๆกลับมาบ้าง ไม่ว่าจะเป็นทองคำในเดือนพฤศจิกายน ดีดมากสุดกว่า 170$ จากจุดต่ำสุด และตัวเลขเงินเฟ้อที่ลดสักทีจากนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด)
.
ทำให้ทาง Intergold มองว่าในเดือนมกราคมหรือแม้แต่เดือนธันวาคมที่จะถึงนี้ ทองคำน่าจะกลับมาผงาดอีกครั้งไม่ว่าจะเป็นขารีบาวน์หรือขาขึ้นยาวๆ อย่างน้อยโอกาสในฝั่งขาขึ้นก็ยังเห็นภาพกว่าฝั่งการลงต่อหลังจากนี้โดยมีปัจจัยเสริมต่างๆที่อาจจะทำให้เดือนช่วงเดือนธันวาคมถึงมกราคมปี 2023 ราคาทองอาจไปต่อได้อยู่ 2 ปัจจัยคือ
.
1. ความเสี่ยงของเฟดในการที่คงดอกเบี้ยไว้สูงหรือขึ้นดอกเบี้ยต่อเพื่อรับมือกับเงินเฟ้อที่ ณ ตอนนี้สูงถึง 7.7% ต่อปี ซึ้งเป้าหมายที่เฟดตั้งไว้คือลดเงินเฟ้อให้กลับมาที่ระดับ 2% ต่อปี แน่นอนว่าเป้าหมายนี้ยังอีกห่างไกลนักและปี 2023 นั้นไม่เหมือนกับปี 2022 ที่เศรษฐกิจ การจ้างงาน ของสหรัฐฯยังอยู่ในระดับที่ดี เพราะในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี 2022 นี้ ตัวเลขต่างๆก็เริ่มสะท้อนมาแล้วว่า เศรษฐกิจเริ่มชะลอตัว การว่างงานเพิ่มมากขึ้น จากการที่บริษัทต่างๆจำเป็นต้องต่อสู้กับต้นทุนที่เพิ่มขึ้นจากดอกเบี้ยที่สูง ทำให้การเชิญพนักงานออกเป็นหนทางที่ลดต้นทุนได้เร็วที่สุด ด้วยเหตุนี้ทำให้คนในตลาดต่างเก็งกันว่าปี 2023 ท่าทีของเฟดต้องเปลี่ยนไป ดอลลาร์ที่แข็งค่าจากนโยบายดอกเบี้ยขาขึ้นก็เริ่มมีสัญญาณกลับตัวแล้ว ทองคำหรือสินทรัพย์ทั่วโลกที่โดนดอลลาร์กดดันอยู่ น่าจะเริ่มคลายตัวหรืออย่างน้อยในช่วงต้นปี 2023 มีโอกาสที่จะเริ่มสร้างฐานและยังไม่ปรับตัวลงต่อ จนกว่าการประชุมเฟดครั้งแรกในปี 2023 ที่จะเกิดขึ้นช่วง 31 มกราคม หรือ ประมาณ 1 กุมภาพันธ์ 2023
ดังนั้นก่อนการประชุมเรามีเวลา 1 เดือนเต็มๆ หาก January Effect ทำงานจริง ก็ถือว่าเป็นโอกาสที่น่าคว้าเช่นกัน
.
2.กราฟเทคนิคที่เปิดมาค่อนข้างสวยในเดือนพฤศจิกายนจากการที่ทองคำลงมาอย่างต่อเนื่องตลอดครึ่งปีที่ผ่านมา การปิดบวกระดับ 100$+ ภายใน 1 เดือนถือว่าเป็นสัญญาณที่ทำให้เห็นว่ามีทุนใหญ่เข้าซื้อทองอย่างหนักหน่วงเลยทีเดียว นั่นหมายความว่าโอกาสที่ทองคำจะลงไปถึงจุดต่ำสุดเดิมนั้นเริ่มยากแล้วในช่วงเวลา 1-2 เดือนหลังจากนี้ เพราะถ้ามองในมุมมองขาลง เขาก็เริ่มหมดแรงเช่นกันเพราะลงมาอย่างต่อเนื่อง หากจะลงต่อก็ต้องการการรีบาวน์ขึ้นมารับคนฝั่งขาย เพื่อให้ราคารับแรงขายก้อนใหม่เพื่อลงต่อ ส่วนฝั่งขาขึ้นหลังจากซบเซามานาน การที่เราได้เห็นสัญญาณบวกแรกในรอบ 7 เดือน มีหรือที่จะไม่หาจุดเข้าซื้อ หากราคามีการย่อหรือเริ่มพักตัว ทำให้มุมมองด้านฝั่งรีบาวน์นั้นมีโอกาสที่ชนะสูงมากๆ ประกอบกับ January effect ที่จ่อจะเกิดขึ้นในช่วงเดือนมกราคม ทำให้ในเดือนธันวาคมที่จะถึงนี้ทาง Intergold มองว่าเป็นเดือนเก็บของเพื่อไปขายราคาสวยๆในเดือนมกราคมได้เลยทีเดียว
.
กลยุทธ์ :
ทองคำในเดือนพฤศจิกายนถือว่าขึ้นมาแรงมาก แรงขนาดที่ว่าคนตกรถกันเยอะพอสมควร การที่จะให้ราคาทองปรับตัวขึ้นต่ออย่างแข็งแรง จำเป็นที่ต้องเกิดการพักตัวหรือลงมารับคนเสียก่อน ไม่ว่าจะเป็นการยืนอยู่ในกรอบใหม่ หรือการปรับตัวลงลึก โดยโซนแรกที่น่าเข้าเก็บของทองคำจะอยู่บริเวณ 1700-1721 หรือประมาณ 29500-29650 ในกรณีที่ทองคำเลือกจะพักตัวออกข้าง และบริเวณ 1660-1680 29200-29350 สำหรับกรณีที่ทองเลือกที่จะพักตัวลึก
เป้าการทำกำไรในระยะกลางถึงยาว จะอยู่ที่ 1800 หรือ 30500 และ 1900 หรือ 31500