InterGOLD วิเคราะห์ราคาทองครึ่งปีหลัง แนวโน้มจะรุ่งหรือร่วง
ในช่วงต้นปีที่ผ่านมา ถือเป็นปรากฏการณ์ที่ไม่ได้เจอกันบ่อยๆ ในตลาดการ ลงทุนทองคำ เมื่อ ราคาทองคำ เกิดความผันผวนอย่างหนัก โดยราคาวิ่งจาก 33,000 บาท/บาททอง ในช่วงต้นปี ไปจนถึงจุดสูงสุดที่ 42,000 บาท/บาททอง ภายในเวลาแค่ไม่ถึง 2 เดือน และที่สำคัญยังเริ่มเห็นภาพการยืนอย่างแข็งแกร่งเหนือราคา 40,000 บาท/บาททอง มาตลอดครึ่งปีแรกเลยทีเดียว
คำถามที่หลายคนสงสัยกันก็คือ นี่คือฐานใหม่ของราคาทองคำ? หรือในท้ายที่สุดมันคือการขึ้นระยะสั้นราคาทองคำ ที่อาจจะมีการพักตัวแรงหลุด 40,000 บาท/บาททอง มาอีกครั้ง บทความนี้ อินเตอร์โกลด์ จะชวนมาหาคำตอบไปพร้อมๆ กัน
นักวิเคราะห์จากอินเตอร์โกลด์ มองว่า ในครึ่งปีหลังนี้จะเป็นช่วงที่ค่อนข้างท้าทายต่อราคาทองคำและนักลงทุนทองคำเป็นอย่างมาก ถึงแม้ว่าในช่วงก่อนสิ้นปีจะมีสัญญาณดีที่ว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะลดอัตราดอกเบี้ยอย่างน้อย 1 ครั้ง แต่ก็ต้องเดาใจตลาดกันอีกทีว่า ลด 1-2 ครั้ง มันน้อยไปหรือไม่ ถ้าออกมาเป็นทางน้อยไปและ เงินเฟ้อ ก็ยังไม่ลงราคาทองคำก็อาจจะโดนทุบได้ แต่ถ้าตลาดมองว่าการลด 1-2 ครั้ง เหมาะสมแล้ว ราคาทองคำก็สามารถยืนฐาน 40,000 บาท/บาททอง ได้อยู่และวิ่งขึ้นต่อได้ไม่ยากเช่นกัน
สิ่งที่ต้องติดตามในช่วงครึ่งปีหลัง 2567
1. ปัจจัยด้านอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐ
ปัจจัยด้านนี้ กล่าวได้ว่าเป็นปัจจัยที่สำคัญที่สุดก็คงจะไม่ผิดอะไร และนอกจากจะกระทบกับ ราคาทองคำ แล้ว ก็ยังกระทบกระแสเงินทั่วโลก หรือพูดง่ายๆ ว่าสินทรัพย์ทั่วทั้งโลกต่างวิ่งขึ้นลงตามอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐ และปัจจัยนี้เองที่นักลงทุนควรยึดเป็นหลักเพราะเป็นสิ่งที่ติดตามได้ง่ายที่สุด
เนื่องจากนโยบายดอกเบี้ยจะประกาศมาเป็นตัวเลขที่เป็นการคาดการณ์ โดยอย่างล่าสุดในเดือนมิถุนายน สิ่งที่รู้ก่อนเลยก็คือดอกเบี้ยยังคงที่อยู่ที่ระดับ 5.25 – 5.5% ไม่มีการลดอัตราดอกเบี้ยอะไร แต่เฟดก็ได้ออกมาคาดการณ์อัตราดอกเบี้ยผ่าน Economic Projection หรือ Fed Dot Plot ซึ่งข่าวนี้เองที่ทำให้สามารถรู้ได้ว่าก่อนสิ้นปี 2567 ดอกเบี้ยจะอยู่ที่ประมาณ 5.1% กล่าวคือเฟดจะลดดอกเบี้ยเพียงแค่ 1 ครั้งเท่านั้นในปีนี้
ต่างจากในช่วงเดือนมีนาคมอย่างมาก เพราะในตอนนั้นการคาดการณ์ของเฟดออกมาที่ 4.8% นั่นคือเฟดต้องลดอัตราดอกเบี้ยอย่างน้อย 3 ครั้งในปีนี้ การคาดการณ์ดอกเบี้ย ณ สิ้นปีที่ต่างกันขนาดนี้ อย่างไรก็ไม่เป็นผลดีต่อทองคำแน่นอน ทำให้ราคาทองคำในช่วงครึ่งปีหลัง ไม่ได้รับแรงสนับสนุนจากข่าวใหญ่อย่างดอกเบี้ยเท่ากับในช่วงครึ่งปีแรก ทำให้จากปัจจัยแรกนี้มองว่าทองคำช่วงครึ่งปีหลังน่าจะไม่ได้หวือหวามากแล้ว
2. แนวโน้มเงินเฟ้อ
เงินเฟ้อ เป็นตัวเลขที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ใช้ในการดำเนินนโยบายดอกเบี้ย เราได้เห็นแนวโน้มเงินเฟ้อที่ค่อยๆ ลดลง แต่ก็ยังลดลงไม่มากพอตามที่เฟดต้องการ ทำให้เห็นท่าทีของเฟดหรือการคาดการณ์ของเฟดออกมาในเชิงกังวลเงินเฟ้อจะปรับตัวสูงขึ้นหากลดอัตราดอกเบี้ยเร็วเกินไป ตัวเลขเงินเฟ้อที่ออกประจำทุกๆ สัปดาห์ที่ 2 ของเดือน จึงเป็นตัวที่นักลงทุนไม่ว่าจะเป็นระยะสั้นถึงยาวต่างต้องติดตาม
3. การเลือกตั้งสหรัฐ
ปัจจัยที่เสี่ยงสุดในช่วงครึ่งปีหลังนี้คงหนีไม่พ้น การเลือกตั้งสหรัฐ เพราะด้านของเส้นทางการลดดอกเบี้ยของเฟด คนในตลาดก็เห็นเค้าโครงคร่าวๆ แล้วตามข้อที่ 1
ตลาดน่าจะเตรียมแผนรับมือได้ทันหากมีการเปลี่ยนแปลงอะไร แต่การเลือกตั้งสหรัฐนี่สิที่น่ากังวล เพราะในอดีตไม่นานนี้ หากมีการย้ายขั้วมาเป็นฝั่งรีพับลิกัน ส่วนมาก ราคาทองคำ มักจะโดนกดและตลาดหุ้นมันจะได้รับผลบวก
ยิ่งการเลือกตั้งครั้งนี้มีหัวหอกเป็นนายโดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งใครที่อยู่ในวงการทองคำมานานพอ ก็น่าจะทราบกันดีถึงอดีตกาลที่ทรัมป์ชนะการเลือกตั้งทำให้ราคาทองคำหักหัวลงอย่างแรง ด้วยนโยบาย Make America Great Again ซึ่งเป็นการโปรคนอเมริกันอย่างมาก เพราะในสมัยก่อนนักการเมืองจะมาในรูปแบบ World Peace สันติสุขของโลก เป็นรัฐบาลของโลกที่คอยแก้ปัญหาหรือเป็นคนกลางให้หากเกิดความขัดแย้ง แต่พอทรัมป์มาสายไม่สน ขอเอาคนอเมริกันเป็นอย่างแรกก่อน ทำให้เงินที่ต้องเสียไปกับการสร้างสันติสุขของโลก ถูกเอาไปใช้ในประเทศเสียมากกว่า ซึ่งอันนี้นี่เองเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้สหรัฐช่วงนั้นเศรษฐกิจพุ่ง ตลาดหุ้นทะยาน เพราะทุกคนต่างมองว่าสหรัฐใช้เงินอย่างถูกจุดแล้ว
4. การลดซื้อทองคำของจีนเป็นเกมหรือของจริง
อีกกระแสหนึ่งที่หยุดการขึ้นของทองคำในรอบล่าสุดช่วงกลางปี คงหนีไม่พ้นข่าวการหยุดซื้อทองคำมาเป็นทุนสำรองของจีน ข่าวนี้มาในจังหวะที่ประจวบเหมาะกับราคาทองที่เริ่มชะลอการขึ้น จากที่ขึ้นแรงๆ ขึ้นเป็นเทรนด์ เริ่มโดนเทขายบ้างอะไรบ้าง พอข่าวการหยุดซื้อทองคำของจีนออกมาทำให้ปัจจัยบวกของทองคำแทบไม่เหลือแล้วในตอนนี้
ผลก็คือ ราคาทองคำ ก็เริ่มพักตัวและวิ่งออกข้างอยู่ในกรอบ 40,000-41,000 บาท/บาททอง หรือถ้าเป็นราคา Gold Spot ก็อยู่ที่ 2,275-2,350 ดอลลาร์
ที่กล่าวไปข้างต้นเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นไปแล้ว แต่หากมาวิเคราะห์ในเชิงของเกมการเงินก็มีโอกาสเป็นไปได้สูงที่จีนจะพยายามทุบราคาทองคำ หรืออย่างน้อยขายทำกำไรในโซนนี้ ซึ่งหากเป็นเกมการเงินจริงๆ การที่เห็นราคาทองคำพักตัวเพียง 100 ดอลลาร์ ถือว่าน้อยเกินไป หากจีนอยากปรับต้นทุนการซื้อทองหรืออยากทุบทองจริงๆ และช้อนในราคาต่ำๆ ตัวเลขระดับ 200-300 ดอลลาร์ มีโอกาสเป็นไปได้สูงมากกว่า นั่นหมายความว่าเป้าการพักตัวของทองคำจริงๆ อาจอยู่ที่ 2,100-2,200 ดอลลาร์ หรือช่วง 37,000-38,500 บาท/บาททอง จะเป็นจุดที่เหมาะสมในการช้อนหรือเริ่มกลับมาซื้อทองของจีนอีกครั้ง ซึ่งนี่เป็นเพียงความคิดเห็นส่วนตัวของผู้เขียนเท่านั้น
ทั้งหมดนี้ จะเห็นว่าในช่วงครึ่งปีหลังนั้นไม่ได้มีปัจจัยบวกใดๆ กับราคาทองคำมากนัก เราจะไม่พูดถึงความเสี่ยงที่จะเกิดสงคราม จะเกิดวิกฤติการเงิน เพราะสิ่งนี้มีโอกาสเกิดขึ้นอยู่แล้ว แต่เราไม่รู้ว่าจะเกิดเมื่อไร ทำให้หากนักลงทุนมองเรื่องความเสี่ยงที่ยังไม่เกิดขึ้นเป็นสิ่งที่น่ากังวล การถือทองคำไม่ว่าจะระดับราคาใดก็ตามก็ถือเป็นสิ่งที่ควรจะถือควรจะมีทองเก็บไว้ในพอร์ตการลงทุน แต่หากถามถึงเรื่องของจังหวะเวลา
อาจกล่าวได้ว่าก่อนที่จะสิ้นปีนี้ หรือตั้งแต่เดือน 6 ไปจนถึงเดือน 9 ไม่ใช่จังหวะเวลาที่ทองกลับมาเป็นขาขึ้นรุนแรงอีกครั้งในระดับทะลุ 2,400++ หรือ เหนือ 42,000 บาท/บาททองขึ้นไป น่าจะยังไม่เห็นเร็วๆ นี้ ส่วนเรื่องของการพักตัวของ ราคาทองคำ เป้าการพักคงเกาะอยู่ในช่วง 40,000 บาท/บาททอง และต่ำสุดน่าจะอยู่ในช่วงของ 38,000 บาท/บาททอง อย่างไรก็ตามบริเวณราคา 40,000 บาท นั้น ถือเป็นราคาที่ดีสำหรับนักลงทุนระยะกลางถึงระยะยาวขึ้นไป
ผู้เขียน : เศรษฐวัชร์ พุทธทิพย์ นักวิเคราะห์ทองคำ บริษัท อินเตอร์โกลด์ โกลด์เทรด จำกัด