จากแถลงการณ์ของเฟดเมื่อคืนวันพุธที่ผ่านมา ที่ส่งสัญญาณอย่างชัดเจนว่าจะเริ่มปรับลดวงเงิน QE (QE tapering) ในช่วงปลายปีนี้แน่พร้อมกับส่งสัญญาณว่าจะมีการขึ้นดอกเบี้ยหลังจากการสิ้นสุด QE ซึ่งกรอบเวลาคือในช่วงกลางปี 2022 นั้นหมายความว่าเฟดจะทำการขึ้นอัตราดอกเบี้ยเร็วขึ้น 1 ปี จากที่เคยประกาศไว้ว่าจะขึ้นอัตราดอกเบี้ยในช่วงปี 2023
หลังจากที่เฟดประกาศแบบนี้แล้วสถานการณ์ต่อไปของทองคำจะเป็นอย่างไรวันนี้อินเตอร์โกลด์จะมาเล่าให้ฟัง…
ถือว่าเป็นข่าวร้ายของตลาดการลงทุนทองคำเลยทีเดียว เนื่องจากข่าวนี้อาจจะส่งผลให้สกุลเงินดอลลาร์มีแนวโน้มแข็งค่าขึ้นอย่างมากจากการคาดการณ์ดอกเบี้ยล่วงหน้าของนักลงทุน ซึ่งจะฉุดให้ราคาทองคำในต่างประเทศส่อแววปรับเป็นแนวโน้มขาลงหรือไม่ได้รับความสนใจจากนักลงทุนอีกต่อไป อย่างไรก็ตามผลพวงของสกุลเงินดอลลาร์ที่มีแนวโน้มแข็งค่า ในอีกทางหนึ่งก็ส่งผลให้ค่าเงินบาทเราอ่อนตามไปเช่นกัน ด้วยเหตุนี้ทองคำแท่งบ้านเรามีโอกาสที่จะทรงๆ หรืออาจไม่ได้รับผลกระทบมากนัก อีกทั้งถ้าผลของการอ่อนค่าของค่าเงินบาทมีมากกว่าการล่วงลงของทองคำในต่างประเทศ เราอาจเห็นทองแท่งบ้านเราปรับตัวขึ้นสวนทองต่างประเทศได้เช่นกัน
มาดูกรอบ 10 ปีของค่าเงินบาทกัน
เพื่อนๆเห็นอะไรกันไหมครับ จะสังเกตุได้ว่ากรอบการเคลื่อนที่ค่าเงินบาทของเราจะอยู่ที่ 29-36 บาท โดยจะมีขึ้นและลงเป็น Sideway แบบนี้มาเป็นระยะเวลากว่า 10 ปี
กล่าวคือค่าเงินบาท ณ ปัจจุบัน (33.50) มีโอกาสวิ่งเข้าสู่กรอบ 36 บาทได้สูงมาก
ทองคำแท่งก็เป็นอีกตัวเลือกหนึ่งที่สามารถใช้ Hedge หรือป้องกันความเสี่ยงจากค่าเงินบาทได้ ซึ่งหากนักลงทุนไม่อยากถือเงินบาทและอยากป้องกันความเสี่ยงความผันผวนของสกุลเงินบาทก็สามารถมาซื้อทองคำเก็บไว้กับ Intergold ได้นะครับ ฮา…
อย่างไรก็ตามหลังจากเดือนกันยายนเป็นต้นไปจนถึงช่วงต้นเดือนธันวาคม ถือว่าเป็นช่วง Low season ของทองคำซึ่งอ้างอิงจากสถิติที่ผ่านมาช่วงนี้ทองคำมักจะเป็นขาลงจนกว่าจะถึงการประชุมเฟดครั้งหน้าเดือนพฤศจิกายน คาดว่าตลาดทองอาจอยู่ในช่วงซบเซา ไม่นิ่ง Sideway ก็อาจจะปรับตัวลงได้ เพื่อนๆก็ยังคงต้องตามสถานการณ์ต่อไปว่าจะมีเหตุหรือปัจจัยบวกอื่นเพิ่มเติมอีกไหม ซึ่งในตอนนี้ประเด็นน่าติดตามน่าจะพุ่งเป้าไปที่ประเทศจีน กรณีบริษัทอสังหายักษ์ใหญ่ Evergrande ว่าทางจีนจะมีมาตรการอะไรมารองรับไหม และผลกระทบหลังจากนี้เป็นอย่างไร ต้องรอติดตามกันต่อไปครับ…