บริหารพอร์ทการลงทุนอย่างยั่งยืนด้วยหลักการ All weather portfolio

ก่อนที่เราจะเริ่มเรื่อง All weather portfolio เราก็ต้องเข้าใจคำว่า asset class ก่อน asset class ในโลกนี้มีหลายประเภท เช่น stock  bond commodity ซึ่งจะมีรอบขึ้นและลงต่างกัน ตามรอบของเศรษฐกิจที่ต่างกัน เช่น หุ้น จะมีค่ามากขึ้นเรื่อยๆ เมื่อเศรษฐกิจมีการเติบโต และจะมีค่าลดลงเมื่อเศรษฐกิจเข้าสู่ขาลง ในขณะที่ bond จะมีค่ามากขึ้นเมื่อเศรษฐกิจไม่ค่อยเติบโต หรือดอกเบี้ยเป็นขาลง

จากแนวคิด The all weather ก็คือเราต้องจำลองพอร์ตตัวเราให้เป็นตลาดซะเอง โดยการไม่เดาทิศทางตลาดใดๆทั้งสิ้น ถ้าเปรียบกับการเข้าบ่อนไฮโลก็คือแทงทุกหน้านั้นหละแต่ตลาดหุ้นกับการพนันมันไม่เหมือนกัน การแทงทุกหน้าเลยได้เปรียบ (ไม่ใช่Long/shortพร้อมกันนะ) การที่เราไม่ต้องเดาทิศทางตลาดก็คือเราต้องเข้าใจธรรมชาติพื้นฐานของเศรษฐกิจเสียก่อน พื้นฐานง่ายๆก็คือ ดูที่ Inflation (เงินเฟ้อ)กับGrowth(การเติบโต) กับความสัมพันธ์ของตลาด

โดยจะแบ่งวัฏจักรเศรษฐกิจออกเป็น 4 วัฏจักรด้วยกันได้แก่

1. Growth สูง Inflation สูง >> Commodities เป็น Best Asset Class
2. Growth สูง inflation ต่ำ >> Stock เป็น Best Asset Class
3. Growth ต่ำ Inflation สูง >> Cash เป็น Best Asset Class
4. Growth ต่ำ Inflation ต่ำ >> Bond เป็น Best Asset Class

สรุปความสัมพันธ์ระหว่าง Asset class ต่างๆแบบง่าย

1.เมื่อเงินเฟ้อลดลงจะเป็นผลดีกับ Bonds และ Stock  เป็นผลเสียต่อ Commodities

2.ถ้าGrowthมากขึ้นจะเป็นผลเสียต่อ Bonds แต่จะเป็นผลดีกับ Stock ,Commodities

ในทางกลับกันถ้าหาก เงินเฟ้อสูงขึ้นหละ มันก็จะเป็นทิศตรงข้าม ก็คือ

1.เมื่อเงินเฟ้อสูงขึ้น ก็เป็นผลเสียกับ Bond และ Stock  เป็นผลดีต่อ Commodities

2.ถ้า Growth ลดลง ก็จะทำให้เป็นผลดีกับ Bonds แต่เป็นผลเสียกับ Stock, Commodities

สรุปขั้นตอนการลงทุนด้วย All weather Portfolio

1. การจัดเตรียมวัตถุดิบ ที่จะเป็นส่วนประกอบของ port โดยการหา asset class ต่างๆที่มีความสัมพันธ์ต่อภาวะเศรษฐกิจในอนาคตที่ต่างกัน (correlation ระหว่างกันต่ำ)
2. จัดสัดส่วน port ให้สมดุลยทุกสภาวะ ไม่ดีไม่แย่ไปในภาวะเศรษฐกิจแบบใดแบบหนึ่ง โดยการจัด exposure ที่เสมือนถือ asset ที่ perform ดี ในแต่ละภาวะเศรษฐกิจ ได้แก่

1) เงินเฟ้อขาขึ้น 2) เงินเฟ้อขาลง 3) การเติบโตทางเศรษฐกิจขาขึ้น 4) การเติบโตทางเศรษฐกิจขาลง

เมื่อเราเข้าใจธรรมชาติของเศรษฐกิจแล้วจะทำให้เราเข้าใจว่า ไม่ว่าตลาดใดๆมันจะไม่ค่อยมีทางที่จะไปในทิศทางใดทิศทางหนึ่ง เช่น ทองกับตลาดหุ้นมูลค่าอาจจะไม่ไปในทิศทางเดียวกัน ฉะนั้นการบริหารพอร์ตเราเลยถือสินค้าพวกนี้ในสัตส่วนเท่าๆกันเลยดังในรูป

จากที่ผมอธิบายมาอาจจะไม่เห็นภาพมากพอ ผมไปเจอคนที่เขาทดสอบแนวคิดนี้ในเว็บนึงมา

วิธีเขาทำง่ายมากๆ

เขาเลือกที่ถือ stock 25% bonds 25% Gold 25% cash 25% โดยใช้สินค้า

1. stock แทน STI ETF
2. Bonds แทนlong term government bond: iShares Barclays 20+ Yr Bond ETF (TLT)

3.gold แทน SPDR GLD

4. cash แทน SGD cash

และนี่คือผลตอบแทนของพอร์ทนับตั้งแต่ปี 1990 จนถึงปี 2013 จะพบว่า วิธีการที่เค้าทำนั้นถึงแม้ว่าจะสร้างผลตอบแทนออกมาได้น้อยกว่าแบบลงทุนในสินทรัพย์แต่ละชนิดเพียวๆ แต่จะพบว่า portfolio นั้นมีความสมูทสูงและมี drawdown ที่ต่ำซึ่งนั้นหมายความว่าหากลงทุนแบบนี้เราจะไม่พบกับสภาวะที่ต้องทนถือช่วง drawdown ที่อาจจะสูงถึง 40 – 50 % และกินเวลายาวนานหลายปี ซึ่งในระหว่างระยะเวลาเหล่านั้นสภาพจิตใจเราอาจจะคอนโทรลไม่ได้หรืออาจเกิดเหตุที่จำเป็นต้องใช้เงิน

ดังนั้นข้อดีของการทำ All weather portfolio หลักๆเลยก็คือความสม่ำเสมอในการเติบโตของพอร์ท ซึ่งก็ให้ return เฉลี่ยอยู่ในระดับกลางๆ และเผชิญกับความเสี่ยงที่ต่ำ

How to Improve ??

คำถามต่อมาคือเราจะมีวิธีการพัฒนาการลงทุนแบบนี้ด้วยการคงความเสี่ยงให้น้อยแต่เพิ่มผลตอบแทนให้ดีขึ้นได้มั้ย ?? คำตอบก็คือมีโดยวิธีการนั้นก็คือ การทำ Rebalancing นั้นเอง !!  ซึ่งเราจะมาต่อในเรื่องนี้ในบทความถัดไป….. โปรดติดตาม

ซื้อขายทองคำแท่ง #ซื้อขายทองคำแท่งออนไลน์ #ทองคำ
#อินเตอร์โกลด์ #InterGOLD #ลงทุนทองคำแท่ง
สามารถติดตามบทวิเคราะห์ได้ที่: https://www.youtube.com/intergoldgoldtrade
 สนใจลงทุนทองคำแท่งหรือติดตามข่าวสารได้ที่
 Website : www.intergold.co.th
 Line : @intergold
 Facebook : https://www.facebook.com/IntergoldPage/
Call : 02 – 2233 – 234