2018 ปี แห่งการกลับมาของพี่เบิ้มอย่าง ” สหรัฐฯ ” ที่เศรษฐกิจกลับมาสดใส และแข็งแกร่ง ส่งผลให้หลายประเทศต้องตื่นตัวเพื่อรับมือกับนโยบายและเศรษฐกิจของสหรัฐกันอย่างวุ่นวาย
ซึ่งตลอดต้นปีที่ผ่านมาถึงตอนนี้ก็มี เรื่องราวเกิดขึ้นในสหรัฐฯ มากมายทั้งเรื่องที่ส่งผลต่อเศรษฐกิจในระยะสั้น และ ระยะยาว แล้วเรามาดูกันครับว่าเศรษฐกิจสหรัฐ แท้ที่จริงแล้วสดใส แข็งแกร่งอย่างที่ว่าหรือไม่
GDP หรือ Gross Domestic Produc เรียกง่ายๆว่า ผลิตภัณฑ์มวลรวมของประเทศ ในครึ่งปี 2018 เมื่อเทียบกับปี 2017 เราจะพบว่า GPD ในปี 2018 ยังขยายตัวได้ดี
จากนโยบาย ” make america great again ” โดยไตรมาสล่าสุด GDP ขยายตัวที่ 4.1% ด้านการส่งออก ครึ่งปีแรกอยู่ที่ 213,810 ล้านดอลล่าร์ ในขณะที่ตัวเลขการส่งออกอยู่ที่ 206,158 ล้านดอลล่าร์
ซึ่งเมื่อนำตัวเลข นำเข้าส่งออกมาหักลบกัน จะพบว่า สหรัฐมีการขาดดุลการค้าเพิ่มขึ้น 7.3% แตะที่ 46.3 พันล้านดอล จากที่เคยปรับลดลง 43.2 พันล้านดอล ในเดือนพฤษภาคม และต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้
ที่ 46.5 พันล้าน สหรัฐยังคงขาดดุลสะสมอย่างต่อเนื่อง ถึงแม้ ทรัมป์ จะออกมาตรการขึ้นภาษีกับสินค้านำเข้าจาก หลายๆประเทศที่เป็นคู่ค้าของสหรัฐเอง แต่ก็ช่วยได้เพียงเล็กน้อย อาจเป็นเพราะเพิ่งเริ่มนโบาย
จึงทำให้ยังไม่ค่อยเห็นผล
เมื่อเรามาดูความคาดหวังของเฟด ที่ตั้งเป้าไว้ ตั้งแต่สมัยประธานเฟด เจเน็ต เยลเลน จนมาถึงวาระของ เจอโรม โพเวลล์ ในขณะนี้ ตัวเลขเงินเฟ้อได้ทะลุ 2% ตามที่เฟดได้ตั้งเป้าหมายไว้
โดยเฟดอยากให้เงินเฟ้ออยู่เข้าใกล้ที่ระดับ 2%
ด้านการจ้างงาน จากข้อมูล NFP หรือ Non farm Payroll เป็นภาษาไทยก็คือ ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคการเกษตร ซึ่งตัวเลขนี้ จะบ่งบอกถึงความต้องการ
แรงงานในตลาด แรงงานของสหรัฐ โดย ตัวเลขการจ้างงานในครึ่งปี2018 นั้น อยุ่ในระดับปานกลาง เป็นที่น่าพอใจ ในมุมมองของเฟด อีกทั้งนโยบายของทรัมป์ ที่จะขึ้นภาษี กับบริษัทสัญชาติอเมริกา ที่มีฐานการผลิตอยู่
ในต่างประเทศหากไม่ย้ายกลับมาผลิตสินค้าในอเมริกา หากมองนโยบายของทรัมป์ ในเรื่องนี้ เราจะเห็นได้ว่า เฟด และ ทรัมป์ได้เห็นตรงกันว่า การที่คนอเมริกามีงานทำมากขึ้น ก็จะทำให้เศรษฐกิจสหรัฐ นั้นกลับมาดี
ได้เหมือนเดิม ดังนั้นตัวนี้การจ้างงานนี้จึงเป็นหนึ่งตัวเลขที่สำคัญ
ในการตัดสินใจในการขึ้นดอกเบี้ย นโยบายในครั้งต่อๆไป โดยปี 2017 เฟด หรือ ธนาคารการสหรัฐ ได้ปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายถึง 2 ครั้ง ซึ่งตรงกับความ
คาดหมายของนักลงทุน โดยการขึ้นสองครั้งนั้น ส่งผลให้ ดอกเบี้ยในสหรัฐอยู่ที่ 1.50% ในปี 2018 มีการคาดการณ์ว่า เฟดมีโอกาสขึ้นดอกเบี้ย ถึง 4 ครั้ง โดยครึ่งปีแรก ได้ขึ้นดอกเบี้ย ครั้งละ 0.25% ไปแล้ว 2 ครั้ง
โดยปัจจุบัน ดอกเบี้ย สหรัฐอยู่ที่ 2.00% การขึ้นดอกเบี้ยของสหรัฐนั้นส่งผลให้หลายประเทศต้องปรับตัวในเรื่องของ นโยบายการเงินกันหลายประเทศ เพราะกลัวการไหลกลับของเงินทุนกลับเข้าไปในสหรัฐนั้นเอง
การที่เฟดมีเป้าหมายอยากจะขึ้นดอกเบี้ย 4 ครั้ง ในปีนี้ และได้ทำสำเร็จไปแล้ว 2 ครั้งนั้น โดยยังเหลืออีก 2 ครั้งที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในครึ่งปีหลัง แต่ก็มีเสียงท้วงติงจากฝั่งของฝ่ายบริหาร อย่างประธานาธิบดี ทรัมป์ ที่
ไม่เห็นด้วยกับการขึ้นดอกเบี้ยติดกันมากเกินไป เพราะจะเป็นการเพิ่มภาระให้กับประเทศมากเกินไป หลายคนอาจงงว่าเพิ่มภาระยังงัยในเมื่อขึ้นดอกเบี้ย เงินทุนไหลกลับเข้าประเทศ จำนวนมาก ซึ่งรัฐบาลสามารถนำเงินที่ไหลเข้ามานั้น
นำไปใช้จ่ายในการลงทุนได้ แต่คุณอย่าลืมว่าปัจจุบัน สหรัฐฯเป็นประเทศที่มีหนี้สินมากที่สุดในโลก โดยการที่เฟดปรับขึ้นดอกเบี้ยนั้นจะส่งผลให้ ผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐนั้นสูงขึ้นด้วย
ทำให้รัฐบาลจะต้องจ่ายผลตอบแทนให้กับเจ้าหนี้มากขึ้นนั้นเอง ซึ่งเจ้าหนี้รายใหญ่ก็คงหนีไม่พ้น ประเทศจีนนั้นเอง เศรษฐกิจครึ่งปีหลังจะเป็นอย่างไร คงต้องรอดูฝีมือ ของ ประธานาธิบดี ทรัมป์ และ ประธานเฟด โพเวลล์
ซึ่งต่างก็เป็นมือใหม่ทั้งคู่ในการดำรงตำแหน่ง ว่าจะสามารถทำให้เศรษฐกิจสหรัฐนั้น แข็งแกร่งได้มาเพียงใด แล้วพบกันในสรุปครึ่งปีหลังนะครับ
#ซื้อขายทองคำแท่ง #ซื้อขายทองคำแท่งออนไลน์ #ทองคำ
#อินเตอร์โกลด์ #InterGOLD #ลงทุนทองคำแท่ง
สามารถติดตามบทวิเคราะห์ได้
สนใจลงทุนทองคำแท่งหรือติดต
Website : www.intergold.co.th
Line : @intergold
Facebook : https://www.facebook.com/
Call : 02 – 2233 – 234