นับว่าเปิดฉากขึ้นแล้วกับการห้ำหั่นอย่างดุเดือดบนสมรภูมิการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีน เมื่อสองมหาอำนาจเศรษฐกิจเบอร์ 1 และ 2 ของโลกต่างงัดมาตรการภาษีมาตอบโต้อีกฝ่ายอย่างไม่มีใครยอมใคร ท่ามกลางความตื่นตระหนกระคนหวาดวิตกของภาคธุรกิจและนักลงทุนทั่วโลกว่า สงครามการค้าอาจส่งผลกระทบเป็นวงกว้างต่อเศรษฐกิจโลก
ทั้ง 2 ประเทศ ได้ประกาศรายชื่อสินค้าที่จะถูกเรียกเก็บภาษีนำเข้า อย่างไม่มีใครยอมใคร
แล้วภาษีเกี่ยวอะไรกับสงครามการค้า ??
สมมติว่า เราผลิตข้าวได้มาก จนถึงขนาดว่าใช้ทั่วประเทศแล้วก็ยังไม่หมด ซึ่งแน่นอนว่าด้วยการผลิตที่เยอะจะทำให้ต้นทุนต่อชิ้นถูกลงตามหลัก economy of scale เราจึงทำการส่งข้าวของประเทศเราออกขายต่างประเทศ
เมื่อข้าวของเรามีราคาถูกมาก แม้ว่าจะโดนอัตราภาษีนำเข้าของแต่ละประเทศแล้วก็ยังถูกกว่าข้าวที่ผลิตในประเทศนั้น เมื่อเป็นอย่างนั้นแล้วอุตสาหกรรมผู้ผลิตข้าวของประเทศที่นำเข้า ก็จะต้องย่ำแย่แน่ๆ
รัฐบาลของประเทศก็น่าจะต้องเพิ่มอัตราภาษีนำเข้า รวมถึงการเพิ่มระดับมาตรฐานของสินค้าเพื่อปกป้องอุตสาหกรรมในประเทศตนเอง
เรามาดูกรณีที่เกิดขึ้นระหว่างสหรัฐอเมริกากับจีน
ในปี 2017 ประเทศสหรัฐอมเริกา
นำสินค้าเข้าเป็นมูลค่าทั้งสิ้น 2.9 Trillion US Dollar
ส่งออกสินค้าเป็นมูลค่าทั้งสิ้น 2.3 Trillion US Dollar
แสดงว่าสหรัฐอเมริกาขาดดุลการค้า (ขาดทุน)ถึง 6 แสนล้านเหรียญสหรัฐ
ใน 6 แสนล้านเหรียญสหรัฐนี้เป็นของจีนไปแล้วถึง 3.8 แสนล้านเหรียญสหรัฐ
เมื่อเห็นเป็นดังนี้แล้วทางสหรัฐอเมริกาจึงต้องการที่จะลดช่องว่างนี้ลงไป
โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกา จึงประกาศว่าต้องการที่จะเพิ่มอัตราภาษีนำเข้าจากจีน 1,300 รายการ รวมมูลค่าประมาณ 5 หมื่นล้านเหรียญ
โดยในหมวดหลักๆ แล้วจะเกี่ยวข้องกับ คอมพิวเตอร์และอุปกรณ์กึ่งตัวนำ ซึ่งสหรัฐอเมริกานำเข้าจากจีนในปีที่แล้วสูงถึง 1.5 แสนล้านเหรียญสหรัฐ
เมื่อจีนได้ยินแบบนี้ แน่นอนว่าจีนต้องไม่ยอมอยู่เฉย
ประธานาธิบดี สี จิ้นผิง ของจีนจึงโต้ตอบด้วยการเพิ่มอัตราภาษีนำเข้าสินค้าจากอเมริกาคืนเช่นกัน เป็นจำนวนทั้งสิ้น 106 รายการคิดเป็นมูล 5 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐเช่นกัน
แต่สินค้าที่จีนปรับอัตราภาษีนำเข้านั้นส่งผลกระทบต่อสหรัฐอเมริกาอย่างมาก นั่นคือสินค้าจำพวกถั่วเหลือง ข้าวโพดและสินค้าเกษตรอื่นๆ รวมถึงภาษีเครื่องบิน เพราะฐานเสียงหลักของทรัมป์นั้นล้วนเป็นรัฐที่มีเน้นสินค้าเกษตรโดยเฉพาะถั่วเหลือง
แล้วถ้าสงครามการค้าเกิดขึ้นใครได้รับผลกระทบ ???
คำตอบก็คือ ผู้ที่ใช้สินค้านั้นๆ (ประชาชนตาดำๆ)
เพราะบริษัทที่ได้รับผลกระทบเรื่องภาษีคงไม่มีบริษัทไหนยอมลดกำไรของตัวเองลงเพื่อที่จะนำมาจ่ายภาษี
ทางเลือกสุดท้ายก็คือ การขึ้นราคาของสินค้าเพื่อชดเชยรายจ่ายที่เพิ่มขึ้น เมื่อราคาสินค้าเพิ่มขึ้นสิ่งที่ย่อมตามมาอย่างแน่นอนนั้นก็คือเงินเฟ้อนั่นเอง
แล้วทองคำหละ ??
อย่างที่กล่าวไปด้านต้น ถ้าเกิดสงครามการค้าขึ้นมาจริงสินค้าจะมีราคาแพงขึ้นอย่างแน่นอนซึ่งมันจะทำให้เกิดเงินเฟ้อขึ้น ซึ่งก็ส่งผลบวกต่อราคาทองคำ อีกทั้งยังมีประเด็นในด้านการเมืองที่สงผลบวกต่อราคาทองคำเช่นกัน
#ซื้อขายทองคำแท่ง #ซื้อขายทองคำแท่งออนไลน์ #ทองคำ
#อินเตอร์โกลด์ #InterGOLD #ลงทุนทองคำแท่ง
สามารถติดตามบทวิเคราะห์ได้
สนใจลงทุนทองคำแท่งหรือติดต
Website : www.intergold.co.th
Line : @intergold
Facebook : https://www.facebook.com/
Call : 02 – 2233 – 234